เมื่อคนดีไม่มีเสื่อม จะเขมือบ สสส.
เมื่อคนดีไม่มีเสื่อม จะเขมือบ สสส.
ข่าวคราวสถานการณ์ความวุ่นวายเกี่ยวกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ ที่รู้จักกันในนาม สสส. นั้นปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์มานานหลายเดือนแล้ว แต่ข่าวคราวที่ปรากฏนั้นไม่สู้ปะติดปะต่อและไม่ได้นำเสนอภาพรวมของปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดใน สสส. ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดตามข่าวสารเรื่องนี้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับ สสส. ในวันนี้องค์กร สสส.ที่เป็นความหวังของประเทศไทยในการผลักดันการสร้างเสริมสุขภาพให้เป็นของคนไทยทุกคนนั้นมีความน่าเป็นห่วงยิ่ง เพราะ สสส.กำลังจะถูกเขมือบโดยคนที่มี "ภาพลักษณ์" ที่คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าดีที่สุดคนหนึ่ง กองบรรณาธิการวารสารโรงพยาบาลชุมชนจึงได้รวบรวมสถานการณ์ทั้งหมดเรียบเรียงขึ้น เพื่อให้สาธารณชนและชาวสาธารณสุขรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ไม่น่าเชื่อ
สสส. องค์กรที่น่าเขมือบ
รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติตั้ง "สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ" หรือ "สสส."ขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่นอกระบบราชการ กองทุนนี้มีรายได้จาก "ภาษีบาป" (เหล้า บุหรี่) จำนวนปีละ 1,500 - 1,900 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (health promotion)
สสส.ถือเป็นนวตกรรมทางสังคมที่สำคัญยิ่งของประเทศไทยที่ผลักดันมายาวนานกว่า 7-8 ปี ผ่านการผลักดันถึง 4 รัฐบาล การตั้ง สสส.ได้สำเร็จถือเป็นชื่อเสียงที่องค์การอนามัยโลกให้ความชื่นชมอย่างยิ่ง ขณะนี้มีเพียง 5 ประเทศทั่วโลกที่มีองค์กรอย่าง สสส.แต่อีก 10 กว่าประเทศกำลังเสนอผลักดันกฎหมายกันอยู่ การจัดตั้ง สสส.เป็นเหตุผลหลักประการหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกตัดสินใจจะจัดประชุมระดับโลกด้านการสร้างเสริมสุขภาพขึ้นในประเทศไทยในปี 2548 และในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งล่าสุด (พ.ค.46) สมัชชาก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า องค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกจัดตั้งหน่วยงานทำนองเดียวกับ สสส.ของไทย
สสส. เป็นสำนักงานเล็ก ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่เพียงสี่สิบกว่าคน แต่ทำงานผ่านเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพหลากหลายวงการ (วงการสาธารณสุข วงการศึกษา วงการพัฒนาท้องถิ่น วงการพัฒนาสังคม วงการกีฬา วงการสื่อสารมวลชน วงการทหาร วงการอุตสาหกรรม เป็นต้น) นับเป็นองค์กรหนึ่งที่มุ่งจัดรูปองค์กรในลักษณะใหม่คือ "จิ๋วแต่แจ๋ว"
การให้ทุนหน่วยงานภาคีไปทำงานสร้างเสริมสุขภาพเป็นบทบาทหนึ่งและอาจเป็น"ภาพ"ที่คนจำนวนมากมองเห็นสสส. แม้สสส. จะพยายามใช้ "งาน"ไม่ใช่ "เงิน"เป็นธงนำ แต่กองทุนขนาดเกือบสองพันล้านบาทต่อปีนั้นย่อมเป็นที่มุ่งมาดปรารถนาของกลุ่มผลประโยชน์ มีการของบประมาณจากนักการเมืองในหลายโอกาสทั้งที่ขอตรงๆและฝากกับข้าราชการ แต่ทาง สสส. ก็ได้จัดให้มีการพิจารณาไปตามระบบคุณธรรม ซึ่ง กระบวนการพิจารณาโครงการของ สสส.นับได้ว่าโปร่งใสที่สุดองค์กรหนึ่ง
ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบเปิดประกอบกับบารมีสนับสนุนของผู้ใหญ่ สสส.จึงสามารถปลอดจากการแทรกแซงแบบตรง ๆ จากอิทธิพลมาได้เกือบ 2 ปี
ใครเป็นใครใน สสส.
สสส.มีระบบการบริหารงานโดยคณะกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธานคนที่ 1 กับคณะกรรมการประเมินผล มี นพ.ดำรงค์ บุญยืน (อดีตรองปลัดกระทรวงและอธิบดีหลายกรมของกระทรวงสาธารณสุข) เป็นประธาน
เมื่อต้นปี 2545 คณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งอาจารย์หมอประกิต "หมอนักรณรงค์สู้บุหรี่" ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรีให้เป็น รองประธานคนที่สอง พร้อมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 8 คนได้แก่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช, ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม, นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์, ครูสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์, แม่ทองดี โพธิ์ยอง, ดร.สายสุรี จุติกุล, รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ
คณะรัฐมนตรียังเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลด้วย โดยนอกจาก นพ.ดำรงค์แล้วยังประกอบด้วยกรรมการอีก 6 คนได้แก่ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา, ศ.นพ.จิตร สิทธิอมร, รศ.พญ.พรพันธุ์ บุญรัตน์พันธ์, ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัช, ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ และ ศ.ดร.ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์
สสส.เป็นองค์กรที่มีการทำงานที่เป็นระบบ มีคณะกรรมการดูแลการกระจายงบประมาณอย่างเป็นระบบ ซึ่งคณะกรรมการชุดสำคัญที่พิจารณาโครงการส่วนใหญ่มี นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้มีฉายาว่าเป็น "เปาบุ้นจิ้น" เป็นประธานและประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายวงการอีก 15 คน อีกทั้งยังมีผู้ทรงคุณวุฒิสมทบทำหน้าที่วิเคราะห์สอบทานโครงการอีกกว่า 400 คน
ความตรงคือภัย
นพ.ประกิต เวทีสาธกกิจ รองประธาน สสส.คนที่ 2 ได้กล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดเจนในวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 ว่า " แม้หลายคนบอกว่า สสส.จะมีงบมากถึง 2,000 ล้านบาท แต่ขอใช้ยากเหลือเกิน ต้องขอเรียนว่า เงินก้อนนี้เป็นเพียงร้อยละ 0.17 ของงบประมาณปกติ หรือเพียงร้อยละ 1 ของค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นต้องใช้งบก้อนนี้อย่างคุ้มค่าที่สุด "
ดังนั้นในการพิจารณาโครงการนั้น โครงการใดที่เสนอเข้ามาแล้วมีแนวโน้มที่จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หรือเอื้อประโยชน์แอบแฝงแก่ผู้เสนอมากกว่าประชาชนก็จะไม่ได้รับการพิจารณา ส่งผลให้มีโครงการจำนวนมากที่ไม่ผ่านการพิจารณา รวมทั้งหลายโครงการของ ส.ส.หรือโครงการที่มีฝ่ายการเมืองขอมาอย่างไม่สมเหตุผลด้วย
ในรอบปี 2546 ที่ผ่านมา สสส.มีโครงการเปิดรับทั่วไปที่ส่งเข้ามา 1,947 โครงการ ไม่ผ่านการกลั่นกรองรอบแรก (เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์อย่างชัดเจนเช่นเน้นการแจกของ ซื้อวัสดุครุภัณฑ์ เน้นการรักษาพยาบาล หรือเป็นกิจกรรมงานประจำของหน่วยงาน) จำนวน 521 โครงการ หรือคิดเป็น 37 % ที่เหลือผ่านการกลั่นกรอง 1,426 โครงการ แต่ได้รับการอนุมัติสนับสนุนจำนวน 300 โครงการ คิดเป็น 21 % ของโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองแล้ว เป็นวงเงิน 89 ล้านบาทเศษ โครงการในกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นโครงการขนาดเล็กแต่มีจำนวนมาก สสส.เรียกว่า "งานเชิงรับ" เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในทุกวงการสามารถขอรับการสนับสนุนโดยเน้นนวัตกรรม
ในปี 2546 สสส.จ่ายงบประมาณสนับสนุนทุนไปรวม 736 ล้านบาท งบประมาณส่วนใหญ่นั้น สสส.ทุ่มไปที่ "งานเชิงรุก" ซึ่งอยู่ในรูป "ชุดโครงการ" อันหมายถึงหลายๆโครงการที่สัมพันธ์กันมีจุดหมายร่วมในการผลักดันแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ เช่น การบริโภคแอลกอฮอล์, อุบัติเหตุจราจร, การเรียนรู้ด้านสุขภาพ, นโยบายสาธารณะ และการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมในพื้นที่ เป็นต้น แม้กระนั้น สสส. ก็มิได้มุ่งทุ่มเทใช้งบประมาณให้ "หมดๆไป" แต่พัฒนาแผนงานเชิงรุกแต่ละแผนงานขึ้นจากงานวิจัยและกระบวนการมีส่วนร่วม อีกทั้งชักชวนฟูมฟักภาคีวงการต่างๆให้แข็งแกร่งพอที่จะรับดำเนินงานขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักการเมืองจำนวนหนึ่งจึงมองกองทุน สสส.ว่า "เงินเหลือเยอะ"
นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2546 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงที่รองนายกปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เข้ามาดูแล สสส.นั้น แทนที่ "คนดี" จะใช้บารมีและภาพลักษณ์ดีๆ ให้เกิดประโยชน์แก่การพัฒนางานและองค์กร แต่ "คนดี" กลับวางตัวเหนือผู้หลักผู้ใหญ่และกรรมการทั้งหมด
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสองท่าน (นพ.วิจารณ์ และนายไพบูลย์ ) เคยออกจดหมายเปิดผนึกเล่าว่า การประชุมบอร์ด สสส.เดิมเคยมีแต่บรรยากาศสร้างสรรกลับกลายเป็นตึงเครียดมุ่งจับผิด หากความคิดใดไม่ตรงกับประธานแล้วกรรมการก็จะมีโอกาสพูดน้อยมาก ข้อสรุปที่มีคณะกลั่นกรองมาแล้วหากไม่ตรงใจประธานก็กลายเป็นเรื่องแขวนดองไว้ ในเรื่องนี้แม่ทองดี โพธิ์ยอง กรรมการอีกท่านหนึ่งได้ให้การต่อกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภาว่า "ประธานเล่นบทครูใหญ่ มองกรรมการเหมือนเด็กนักเรียน"
ในภาพรวมการประชุมบอร์ด สสส.ตลอดปีเศษจึงไร้วาระที่จะสร้างงานใหญ่ แต่กลายเป็นเรื่องหยุมหยิม ซ้ำซาก จนแม้แต่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ผู้ใหญ่ที่มองทุกคนในแง่ดีได้ประกาศว่า หากยังมีประธานคนนี้อยู่ท่านก็จะไม่เข้าร่มประชุมบอร์ด สสส.อีกต่อไป
นอกจากไม่ใส่ใจพัฒนางานพัฒนาองค์กรแล้ว กลับมีการจัดการส่งสัญญาณจากคนที่ใกล้ชิดประธานให้ ส.ส.เสนอโครงการจาก สส.เข้ามาถึง 180 โครงการ โดยโครงการส่วนใหญ่ผิดหลักเกณฑ์ คัดลอกกันมาโดยเปลี่ยนเพียงชื่อสถานที่ วันเวลา เท่านั้น ส่วนเนื้อในนั้นเหมือนกันแทบทุกตัวอักษร ส่งผลให้โครงการเหล่านี้ผ่านการพิจารณาเพียง 8 โครงการครึ่งเท่านั้น
ตัวอย่างกรณีที่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงถึงความผิดปกติในการเสนอโครงการ ได้แก่ หนังสือจากนักการเมืองผู้หนึ่ง ที่ระบุว่า เขาได้รับตัวเลขงบประมาณจำนวน 1.5 ล้านบาท จึงได้ส่งโครงการเกือบ 20 โครงการเข้ามาขอเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ในกรณีนี้โครงการเหล่านั้นไม่ผ่านการพิจารณา
นอกจากนี้ ตัวอย่างของโครงการที่โดดเด่นที่ไม่ผ่านการพิจารณาได้แก่
- โครงการรณรงค์การใช้หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน หรือโครงการแจกหมวกกันน็อคเอื้ออาทร ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย วงเงิน 2,155 ล้านบาท ที่ถูกประชาสังคมวิจารณ์ว่า ได้แจกเก็บแต้มหาเสียง แต่อุบัติเหตุไม่ลดแน่ เพราะปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ไม่มีหมวก จากแหล่งข่าวกล่าวว่า มีคนในทำเนียบไปแนะให้กระทรวงมหาดไทยเสนอมหาอภิโครงการนี้ แต่ต้องตกไปเนื่องจากเป็นข่าวหน้าหนึ่งในเช้าวันที่จะมีการประชุมพิจารณา
- โครงการจัดหาอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับสมาชิกรัฐสภา วงเงิน 6 ล้านบาท เพราะเป็นการซื้อครุภัณฑ์ล้วนๆ และควรใช้จากงบประมาณส่วนของรัฐสภามากกว่าเช่น ดูงานต่างประเทศให้น้อยลงสักครั้งก็ได้งบก้อนนี้แล้ว ดีกว่ามาเบียดเงินสนับสนุนส่วนของประชาชน
วารสาร connect ฟางเส้นท้ายๆ
ในวันที่ 6 ตุลาคม 2546 ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้บริหารคนหนึ่งใน สสส.ได้ถูกเรียกเข้าทำเนียบพบ รองนายกคนหนึ่ง โดยรองนายกฯคนนั้นชูหนังสือรูปสวยเล่มหนึ่งให้ดูพร้อมกับพูดว่า "ผมว่าโครงการแบบนี้ดี สสส.ควรสนับสนุน" จากนั้นผู้ใกล้ชิดก็ยื่นโครงการ " หนังสือสีขาวเพื่อเยาวชน หรือ วารสาร connect " โดยใช้ชื่อ บริษัท ฐานการพิมพ์ จำกัด เป็นผู้เสนอโครงการขอรับทุน จำนวน 9.8 ล้านบาท เพื่อจัดพิมพ์วารสารเพื่อให้เยาวชนรักสุขภาพ และใช้ในการจัดกิจกรรมนักศึกษา การเรียกพบครั้งนั้นมีโทรศัพท์กำชับกำชาว่า ต้องไปทำเนียบเพียงคนเดียว
ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการพิจารณาโครงการของ สสส.ที่มี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธานได้จัดประชุมพิจารณาโครงการ มีความเห็นว่า วารสาร connect นั้นน่าจะเกิดประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายในระดับหนึ่ง จึงให้การสนับสนุนเป็นเงิน 4.8 ล้านบาท เพื่อผลิตวารสาร 24 ฉบับใน 1 ปี คือตลอดปี 2547 และจะมีการประเมินผลเมื่อวารสารออกได้ 2 เดือน ส่วนการจัดกิจกรรมนักศึกษาที่ขอมา 4 ล้านบาทนั้น ไม่อนุมัติเพราะไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะก่อประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อวารสารออกมาได้ 2 เดือน ก็มีการประเมินผลตามที่ตั้งเงื่อนไขไว้ ซึ่งพบว่า วารสารยังมีเนื้อหาที่เน้นบันเทิง สุขภาพแบบตามกระแสเช่นผิวพรรณ รูปร่างภายนอก อีกทั้งมีกระแสข่าวในเชิงลบต่อวารสารว่า เป็นการใช้เงิน สสส. แอบแฝงหาเสียงเตรียมลงสมัครผู้ว่า กทม.หรือ สร้างภาพให้กับคนบางคน ซึ่งทางคณะกรรมการก็ได้แจ้งให้ผู้รับผิดชอบโครงการไปปรับปรุง และในเดือนกรกฎาคม 2547 จะประเมินอีกครั้งว่าจะพิจารณาสนับสนุนโครงการต่อหรือไม่
เป็นที่ทราบกันดีใน สสส.ว่า โครงการดังกล่าวคือโครงการของใคร เมื่อมีการให้ทุนเพียงครึ่งเดียว แถมด้วยเงื่อนไขที่เข้มข้นก็ยิ่งทำให้ความร้อนระอุของความไม่สบอารมณ์ของฝ่ายการเมืองสูงขึ้นจนเกือบถึงจุดเดือด
และแล้ว ฟางเส้นท้ายๆที่เหลืออยู่จึงขาดสะบั้น นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2546 โครงการโหลจากนักการเมืองในทำเนียบก็หยุดไหลเข้าไปที่สสส. แต่สิ่งที่ตามมาคือ ความตึงเครียดทวีขึ้น และนำไปสู่ "มติครม.ฟ้าผ่า" ในเดือนมกราคม และ การ "สอบสวนความผิด" ในเดือนกุมภาพันธ์ 47
มติครม. "ฟ้าผ่า สสส.เป็นสองซีก" ปีใหม่ 2547รัฐบาลประกาศรณรงค์ลดอุบัติเหตุจราจรแต่คนไทยกลับตายในช่วงเทศกาลนี้มากยิ่งขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีประชุมกันเมื่อวันที่ 7 มกราคม มีมติฟ้าผ่าให้คณะกรรมการกองทุน สสส.พิจารณาจัดสรรงบประมาณอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปสนับสนุนการรณรงค์อุบัติเหตุ สุรา และอื่นๆ แต่แหล่งข่าวในทำเนียบแจ้งว่า ผู้เสนอมตินี้กลับมิใช่รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านลดอุบัติเหตุ แต่กลับเป็นรองนายกฯอีกคนหนึ่ง มติครม.นี้ได้กลายเป็นปมปัญหาในการทำงานของ สสส.ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาจารย์ประเวศ วะสีวิจารณ์ว่า มตินี้เป็นการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล และไม่มีข้อมูลความรู้ใดเป็นพื้นฐานเลย
ภาพรวมคำกล่าวหา สสส. เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2547 เริ่มมีข่าวโจมตี "หมอประกิต" ในข้อหามีนอกมีในจาก "โครงการ 265 ล้าน" ซึ่งบิดเบือนว่า อาจารย์หมอประกิตทำโครงการนี้ไปของบประมาณจาก สสส. โดยขอเงินไปเข้ามูลนิธิรามาธิบดี ในขณะเดียวกันก็ขอนั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการอำนวยการดูแลโครงการนี้ เปิดบัญชีชื่อตนเองเพื่อให้มีการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคล และท้ายที่สุดคือเอาเงินจำนวนนี้ไปซื้อครุภัณฑ์ด้วยวิธีพิเศษ โดยซื้อของแพงไปกว่าที่ควรจะเป็นถึงสองเท่า โดยสรุปคำกล่าวหาว่า "ชงเอง-กินเอง" ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น เชิญติดตามต่อไป
"จนกลางกระดาน คณบดีรามายอมรับงบ 265 ล้านบาทล่องหน"
หัวข่าวข้างต้นปรากฏในข่าวแจกไปตามโรงพิมพ์ต่างๆ แต่มีน้อยฉบับที่ลงข้อความรุนแรงดังกล่าวเนื่องจากสื่อมวลชนผู้หวังดีประสานข้อมูลจาก สสส.ในค่ำวันที่ 24 มีนาคม 46 ก่อนข่าวปรากฏรุ่งขึ้น
แผนงานอุบัติเหตุตามข่าวนี้เป็นงานเชิงรุกประกอบด้วยโครงการย่อยจำนวนหลายสิบโครงการ ซึ่งแยกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ โครงการวิชาการ โครงการรณรงค์ โครงการนำร่องในบางจังหวัด และโครงการประเมินผล โดยผู้ที่รับผิดชอบไปพัฒนาโครงการย่อย ๆ คือ รศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล นักวิชาการจากรามาธิบดีที่จับเรื่องอุบัติเหตุมาเป็นสิบปี โดยกำหนดกรอบให้ทำงานเป็นเวลาสองปีเพื่อไปพัฒนาและสนับสนุนโครงการย่อย ๆ สี่ประเภทข้างต้นด้วยงบประมาณรวม 44 ล้านบาท
โครงการหลัก 44 ล้านบาทนี่เองที่ สสส.ให้ทุนผ่านมูลนิธิรามาธิบดี (ไม่ใช่ 265 ล้านบาทที่มีผู้ออกข่าวบิดเบือน) นอกจากนั้นยังได้ตั้ง "คณะกรรมการอำนวยการ" (ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิอาทิเช่น จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมและขนส่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมจราจร และสภาทนายความ) มาดูแล ส่วนการสนับสนุนทุนแก่มูลนิธิรามาฯ นั้น มูลนิธิมิได้เป็นผู้ขอทุน แต่ สสส.เองได้ขอคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดีให้เข้ามาช่วย และเมื่อวันที่ 7 มี.ค.46 คณะกรรมการกองทุน สสส.ก็ได้มีมติมอบหมายให้ อ.ประกิต เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ อ.ประกิต มิได้ขอเป็นเองและท่านก็มิได้อยู่ในการประชุมด้วย
ในจำนวนโครงการย่อยเหล่านี้มีอยู่ 5 โครงการที่ สสส.สนับสนุนงบประมาณแก่จังหวัดนำร่อง 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา ภูเก็ต และสงขลา โดยส่วนหนึ่งสนับสนุนเป็นครุภัณฑ์ ส่วนนี้คิดเป็นงบประมาณ 10.3 ล้านบาท (ไม่ใช่ซื้อครุภัณฑ์มากถึง 265 ล้านบาทอย่างที่มีผู้ออกข่าว)
การจุดประเด็นข่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มีนาคน มีที่มาจากข่าวแจกจากทำเนียบโดยฝีมือนักข่าวมือปืนที่ผู้ใกล้ชิด "คนดี" จัดให้เข้าไปฟังการประชุมบอร์ด สสส. แต่บอร์ดไล่ให้ออก ถึงกระนั้นก็มีการเขียนข่าวโจมตี นพ.ประกิตอย่างรุนแรง ซึ่งข้อมูลย่อมจะมาจากใครอื่นไม่ได้
นี่คือการป้ายสีกรณีที่ 1 นับเป็นการโกหกที่ไม่กลัวตกนรกเอาเสียเลย
หมอประกิตกับผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interests)?
คำกล่าวหามีว่า นพ.ประกิตมีหลายตำแหน่งหรือ "สวมหมวก" ถึง 6-7 ใบ ได้แก่ (1) กรรมการ สสส. ตำแหน่งรองประธานคนที่สอง (2) ประธานคณะกรรมการตรวจสอบภายในของ สสส. (3) ประธานคณะกรรมการอำนวยการแผนงานป้องกันอุบัติเหตุ (4) คณบดีคณะแพทยศาสตร์ (5) ประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดี (6) เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และ (7) ผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่งในองค์คณะที่พิจารณาให้งบประมาณแก่โครงการนำร่อง 5 จังหวัด
การหยิบยกตำแหน่งต่าง ๆ มากล่าวก็เพื่อชี้แจงว่า อาจารย์หมอประกิตทำโครงการมาของบประมาณไปใช้เอง อนุมัติเอง กำกับดูแลเอง โดยไปใช้ซื้อครุภัณฑ์ในราคาแพง (มีนอกมีใน)
ความจริงก็คือ ทุกตำแหน่งข้างต้นนั้น อาจารย์หมอประกิตได้รับเชิญหรือถูกขอร้องให้ไปทำคุณประโยชน์ทั้งสิ้น และเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ (เช่น คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ท่านเป็นรองประธานคนที่สอง คณบดีและประธานมูลนิธินั้นท่านก็เป็นมาก่อน เลขาธิการมูลนิธิบุหรี่ก็เป็นงานที่ท่านทำมากว่า 15 ปี ส่วนประธานกรรมการอำนวยการและประธานคณะตรวจสอบภายในนั้นก็เป็นมติมอบหมายจากบอร์ด สสส.เอง)
VicHealth องค์กรต้นแบบของ สสส.ที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2530 ก็ใช้แนวปฏิบัติเดียวกับ สสส.โดยมิได้ห้ามไว้มิให้กรรมการบอร์ดเข้าไปช่วยงานต่างๆ ตรงกันข้ามเขายืนยันว่าเป็นประโยชน์และมีความจำเป็น แต่ต้องเข้าไปอย่างเปิดเผยโปร่งใส
ในกรณีอาจารย์หมอประกิต บอร์ดสสส.เองได้พิจารณาและมอบหมายให้ท่านไปดูแลแผนงานอุบัติเหตุ โดยผลประโยชน์จริงๆที่ท่านได้รับก็คือ ค่าเบี้ยประชุม และในกรณีของประธานคณะกรรมการอำนวยการ ท่านก็ได้ทำเรื่องคืน "ผลประโยชน์" (เบี้ยประชุม) ให้แก่ สสส.ทั้งหมด
คนที่ทำงานเพื่อสาธารณะมานานถึง 20 ปี และล้วนทำสำเร็จเป็นผลดี หากมีผู้เชื้อเชิญไปช่วยงานต่าง ๆ นานาน ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด ในขณะที่ผลประโยชน์จริง ๆ ก็ไม่มี แต่กลับถูกหยิบยกขึ้นมาป้ายสีโจมตี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้กล่าวว่า ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีแต่คุณประโยชน์ทับซ้อน คือทำงานมากมายที่เป็นคุณให้แก่สังคมซ้อนทับหลายองค์กรต่างหาก
นี่คือการป้ายสีกรณีที่ 2 ีที่พยายามทำขาวให้เป็นดำให้สังคมสับสน
ซื้อของแพงจริงหรือ
ของแพงที่กล่าวหากันก็คือ "เครื่องตรวจจับความเร็ว" (speed-gun) รุ่น MPH Z-35 จำนวน 45 เครื่อง ราคาเครื่องละ 107,000 บาท ซึ่งซื้อเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2546 ข้อหา "แพง" นั้น โดยการเทียบกับการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วรุ่น Kustom Falcon จำนวน 350 เครื่องที่กระทรวงมหาไทยจัดซื้อเมื่อเดือนเมษายน 2547 ในราคาเครื่องละ 42,000 บาทเศษ
รองนายกรัฐมนตรีปุระชัยได้กล่าวต่อวุฒิสภา ระบุว่า เครื่องมือทั้งสองมีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน และบางกรณีเครื่องที่กระทรวงมหาดไทยจัดซื้อมีคุณลักษณะดีกว่าอีกด้วย
ประเด็นนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตรวจสอบและทดสอบได้ สิ่งที่พิสูจน์ง่ายที่สุดก็คือการส่งมอบที่คุณหมอไพบูลย์ส่งมอบได้ครบถ้วนทันการณรงค์ช่วงปีใหม่ แต่กระทรวงมหาดไทยจัดส่งมอบได้ทันเพียง 20 เครื่องเท่านั้น
ด้านคุณลักษณะเครื่องมือทั้งสองแตกต่างกันมาก เครื่อง Falcon ออกสู่ตลาดเมื่อปี 2529 ในขณะที่ Z-35 ออกสู่ตลาดปี 2542 (เทคโนโลยีต่างกันถึง 13 ปี) มีคุณสมบัติที่ต่างกัน เช่น เครื่อง Z-35 ตรวจจับรถได้พร้อมกันหลายคันในระยะตรวจจับ 1.6 กิโลเมตร ทำงานในเวลากลางคืนได้สะดวก สามารถใช้แบตเตอรี่ (ไม่ต้องมีสาย) มีระบบป้องกันเรดาร์อัตโนมัติ และน้ำหนักเบากว่าถึง 40% ราคาขายในประเทศผู้ผลิต (สหรัฐ) ราคาเครื่องละ 1,303 เหรียญ
ส่วนเครื่อง Falcon ที่มหาดไทยจัดซื้อนั้น สามารถตรวจได้ดีเฉพาะรถที่วิ่งมาคันเดียวโดด ๆ เท่านั้นและตรวจได้คราวละหนึ่งคันในระยะ 0.75 กิโลเมตร เครื่องไม่มีไฟหรือเสียงที่จะใช้ในเวลากลางคืน เวลาใช้ต้องมีสายเสียบติดกับปลั๊กจุดบุหรี่ในรถตำรวจตลอดเวลา และป้องกันเรดาร์อัตโนมัติไม่ได้ ราคาในสหรัฐเครื่องละประมาณ 600 เหรียญ
การจัดซื้อครุภัณฑ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์หมอประกิตแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องของ สสส.ที่มอบหมายให้คุณหมอไพบูลย์รับไปจัดซื้อรวมเพื่อแจกจ่ายให้แก่จังหวัดนำร่อง
ส่วนครุภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งคือ เครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ซึ่งจัดซื้อขึ้นพร้อมกัน (ธ.ค.46) โดยคุณหมอไพบูลย์จัดซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่หน่วยราชการใด ๆ เคยจัดซื้อมาในอดีต
นี่คือการป้ายสีกรณีที่ 3 หวังทำลายคนดีด้วยข้อมูลเท็จทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก
พูดขาวเป็นดำเอาเงินเข้าบัญชี "ส่วนบุคคล"
มีการกล่าวหาว่าเงินงบประมาณที่ได้จาก สสส.นั้น นพ.ประกิต นำไปเข้าบัญชีบุคคลส่วนตัว
คำกล่าวหานี้มีขึ้นในการตอบกระทู้ของรองนายกรัฐมนตรีปุระชัยในวุฒิสภา และเป็นคำกล่าวหาจากปากของผู้ที่เคยเป็นถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาก่อน
ประเด็นนี้สามารถเทียบเคียงได้กับการรับทุนวิจัย ผู้ที่เป็นนักวิจัยคงจะเข้าใจเหตุการณ์ได้ไม่ยาก เมื่อนักวิจัยที่สังกัดมหาวิทยาลัยได้รับทุนโดยมีมหาวิทยาลัยเป็นคู่สัญญารับทุน หน่วยงานให้ทุนมักจะกำหนดให้นำเงินทุนไปเปิดบัญชีแยกออกจากรายได้อื่น ๆ ของมหาวิทยาลัย บัญชีลักษณะดังกล่าวเป็นบัญชีของโครงการ และมักจะกำหนดให้มีผู้ลงนามสั่งจ่ายเงินในบัญชีจำนวน 2 - 3 คน
ระเบียบปฏิบัติดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและเพื่อให้การตรวจสอบบัญชีโครงการกระทำได้โดยง่ายเพราะไม่ปะปนกับรายรับ-รายจ่ายอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยนั้น ๆ
ในกรณีของโครงการหลักที่ สสส.จัดงบประมาณแก่มูลนิธิรามาธิบดีก็เป็นลักษณะเดียวกัน "บัญชีส่วนตัว" ที่กล่าวหาก็คือบัญชีโครงการที่มีชื่อว่า "บัญชีโครงการวิจัยแผนสนับสนุนการป้องกันอุบัติภัยจราจร" โดยมีผู้สั่งจ่ายคือ อ.ประกิต คุณหมอไพบูลย์ และคุณมณฑิรา ไตรโกมล (เจ้าหน้าที่) โดยต้องลงนามสั่งจ่ายจำนวน 2 คน ใน 3 คน กระนั้น อ.ประกิตเองไม่เคยสั่งจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว
นี่คือการป้ายสีกรณีที่ 4 ที่มีเจตนาพูดความจริงบางส่วนเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในกับผู้คนในสังคม
ปุตั้งกรรมการสอบ นพ.ประกิต เมื่อป้ายสีจนเกิดกระแสสังคมที่เข้าใจผิดไปบ้างแล้ว ด้วยอาศัยภาพการจัดระเบียบสังคมที่สังคมยังติดภาพบวก รองนายกปุระชัยจึงได้เริ่มกระบวนการปลด นพ.ประกิต ออกจากตำแหน่งรองประธาน สสส.คนที่ 2 ซึ่งข้อกล่าวโทษอาจารย์หมอประกิตจนถึงขั้นมีผู้สรุปว่ามีความผิดและเสนอคณะรัฐมนตรีให้ปลดนั้น น้อยคนจะทราบว่ามีที่มาอย่างไร สรุปขั้นตอนของการสอบสวนได้ ดังนี้ - 24 ธ.ค.46 ประชุมคณะกรรมการกองทุน สสส. ประธาน (รองนายกรัฐมนตรี) ได้เปิดประเด็นเรื่องการจัดซื้อเครื่องมือแก่จังหวัดนำร่อง และได้แจ้งให้ผู้จัดการกองทุน (นพ.สุภกร บัวสาย ) ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร - ผู้จัดการได้ทำหนังสือชี้แจงถึงสองครั้ง โดยขอให้มีการจัดวาระพิจารณาในคณะกรรมการกองทุนฯ แต่การประชุมบอร์ดอีกสามครั้งถัดมาประธานก็ไม่ยอมให้จัดวาระพิจารณาเรื่องนี้ - 4 ก.พ.47 รองนายกปุระชัยในฐานะประธาน สสส. ได้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งแต่งตั้ง "คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง" อันประกอบด้วยผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯ ผู้ตรวจราชการมหาดไทย และที่ปรึกษาของประธานเองรวม 4 คน คำสั่งนี้เป็นคำสั่ง "ลับ" โดยคณะกรรมการ สสส.ท่านอื่น ๆ ก็ไม่รู้เห็นด้วยเลย - 25 ก.พ.47 ประชุมคณะกรรมการกองทุน นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ขอในวาระอื่น ๆ ให้เปิดเผยเรื่องคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ จึงได้มีการส่งสำเนาคำสั่งให้กรรมการกองทุนฯ ในสัปดาห์ถัดมา - 25 มี.ค.47 มีกรรมการสอบถามเรื่องการสอบสวนอีกและขอให้นำมาพิจารณาในคณะกรรมการกองทุนฯ แต่ประธานตัดบทว่า "ขั้นตอนนี้เป็นเพียงการตรวจสอบว่ามีมูลหรือไม่ ถ้ามีมูลก็จะเอาเข้าพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป" - 7 เม.ย.47 ประธานในฐานะรองนายกรัฐมนตรีนำผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบไว้แต่เพียงเอกสารบางส่วน ตีความเองว่าเป็นผลการสอบสวนเสร็จสมบูรณ์และมีความผิด แล้วเสนอแก่คณะรัฐมนตรีเองในวาระจรก่อนเที่ยง 5 นาที โดยเสนอปลด นพ.ประกิต ออกจากตำแหน่ง แต่ ครม.ไม่เห็นด้วยและมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ดร.วิษณุ เครืองาม) รับไปดูแลข้อกฎหมายก่อนส่งคืนให้รองนายกฯ คนที่เป็นเจ้าของเรื่อง จากลำดับเหตุการณ์ข้างต้น ใครกันแน่ที่ "ชงเอง กินเอง" ?
การต่อสู้ในสภาผู้แทน ธรรมย่อมชนะอธรรม
ตามกฏหมาย สสส.ต้องรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะรัฐมนตรีและสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาปีละ 1 ครั้ง
สำหรับการรายงานต่อคณะรัฐมนตรีนั้น สสส. ได้นำเสนอรายงานต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องก่อนเข้า ครม.ชุดที่ 5 ที่มีรองนายกปุระชัยเป็นประธานเอง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 46 แต่ถูกตีกลับให้กลับไปแก้ไข จึงยังไม่ผ่านการรายงานต่อ ครม. เหตุการณ์นี้แสนประหลาดแท้ แทนที่ประธานชุดกลั่นกรองที่ 5 จะเข้าใจงาน สสส.เนื่องจากเป็นประธานบอร์ด สสส.ด้วย และได้ร่วมพิจารณาร่างรายงานมาถึง 4 ครั้งแล้ว แต่กลับเป็นประธานคนเดียวกันนี้ที่มุ่งล้มล้างตีกลับรายงาน "ของตัวเอง"
ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 นั้น ได้มีการพิจารณารับทราบผลการดำเนินงานของ สสส.ของสภาผู้แทนราษฎร โดย ส.ส.จำนวนหนึ่งก็รุมถล่ม สสส.และ ศ.นพ.ประกิต เวทีสาธกกิจ กลางสภาในช่วงแรก แต่ไม่นาน บรรยากาศในสภาก็เปลี่ยนไป เมื่อ ส.ส.อีกหลายท่าน ได้กล่าวให้กำลังใจแก่ สสส.และ นพ.ประกิต รวมทั้งชี้ให้เห็นความไม่จริงของการกล่าวหาของ สส.ลิ่วล้อของคนดีไม่มีเสื่อม และเมื่อ นพ.ประกิตกล่าวชี้แจง ความจริงก็ยิ่งปรากฏชัด จนสภาผู้แทนราษฎรในวันนั้นเสียงข้างมากได้ลงมติรับรองรายงานการดำเนินงานของ สสส. ผิดไปจากคำเตือนแกมข่มขู่ทางโทรศัพท์ก่อนหน้านั้นที่มีนักการเมืองคนหนึ่งโทรมาขู่ผู้บริการสองคนของ สสส.ว่า จะถล่มล้มล้าง สสส.ให้ได้ในชั้นรายงานต่อสภา
ก้าวต่อไปของ สสส. ผจญมารเพื่อองค์กรเข้มแข็ง
จากวิกฤต สสส.ที่ปรากฏ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเข้มแข็งภายในของ สสส.เองที่ยังสามารถต้านทานการรุกฆาตของพญามารได้
การที่รองนายกรัฐมนตรีปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วสรุปเองว่ามีมูลนั้น สิ่งที่ควรจะเป็นคือ รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี (ผู้เป็นประธานบอร์ด สสส.ตัวจริงตามกฎหมาย) ควรจะตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งที่มีบุคคลที่สังคมยอมรับมาสอบสวนข้อครหาทุกข้อต่อ สสส.และ ศ.นพ.ประกิต เวทีสาธกกิจให้ชัดเจน แต่แค่นั้นย่อมไม่พอ คณะกรรมการชุดนี้ควรที่จะสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อกรณีการบริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพของประธานบอร์ด สสส.ด้วย รวมทั้งหากข้อครหาล้วนไม่มีมูล แต่เป็นเจตนาแอบแฝงที่ต้องการให้ผู้คนในสังคมเข้าใจผิดต่อ สสส.ว่ามีการทุจริตแล้ว ก็ควรที่ทาง ฯพณฯนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงประธานบอร์ด สสส.ต่อไป เพื่อให้ สสส.สามารถทำงานตามภารกิจการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง
วิกฤต สสส.เป็นปัญหาที่แก้ง่าย เพราะเป็นผลมาจากคนๆหนึ่งมีหลงตนเองว่า ตนเป็นคนดีคนวิเศษ ไม่ใช่ปัญหาเชิงระบบ ดังนั้นหากจะแก้ปัญหาให้ถูกจุดแล้ว ก็ต้องปรับคณะรัฐมนตรี ให้คนดีไม่มีเสื่อมไปอยู่ในที่ๆควรจะเป็น
ถึงวันนี้ จริงไม่น่าที่ทำไมแปลกใจแต่อย่างใดที่ทำไม พรรคไทยรักไทยไม่ยอมส่ง ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ลงสมัครชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เรื่องราวความไม่สงบในองค์กร สสส.ยังไม่จบ ก็ขอฝากชาวสาธารณสุขและผู้สนใจปัญหาบ้านเมืองทุกคนได้คอยติดตามและช่วยผลักดันสังคมให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง และส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาล ความตระหนักและรู้ทันของผู้คนในสังคมเท่านั้น ที่จะทำให้ผู้ที่คิดจะเขมือบแต่ยังหวังรักษาภาพพจน์ให้ดูดี ต้องคิดหนักหากยังจะลงมือทำอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
Relate topics
- "หมอประเวศ" ซัดสาธารณสุขไทยเหลว เหตุพัฒนาแต่ยอด
- ความเชื่อเรื่องวิญญาณ
- แพทย์ไทยตายอย่างไร
- 30 บาท กับทางออกไม่ให้โรงพยาบาลเจ๊ง
- ห้ามโฆษณาเหล้า จะลดการดื่มเหล้าได้จริงหรือ
- FTA ไทย-สหรัฐ สุขภาพคนไทยจะรุ่งหรือร่วง?
- แก้จนของจริงที่คำปลาหลาย
- ว่าด้วยทุจริตรถพยาบาลฉุกเฉิน
- ผู้สูงอายุเฮ ใส่ฟันปลอมฟรีทั้งปาก
- สุขภาพผู้สูงอายุ กับ กลไกซีอีโอ