FTA ไทย-สหรัฐ สุขภาพคนไทยจะรุ่งหรือร่วง?
ในช่วงระหว่างวันที่ 9-13 มกราคม 2549 ที่ผ่านมามีการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในรอบที่ 6 ณ จังหวัดเชียงใหม่ และมีการประท้วงจากภาคประชาสังคมและนักวิชาการอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในวันที่ 11 ม.ค.49 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการชุมนุม เกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงการประชุมคณะเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ที่ยังปักหลักชุมนุมมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยตำรวจได้เข้าสลายม็อบที่นอนปิดประตูขวางทางเข้าด้านข้างของโรงแรมเชอราตันสถานที่จัดประชุม จนต้องเปลี่ยนสถานที่เจรจาใหม่ การเจรจายังไม่สิ้นสุด จะต้องมีการเจรจากันอีกหลายรอบ
เรื่อง FTA ไทย-สหรัฐนั้น เกี่ยวอะไรกับสุขภาพ เป็นสิ่งที่สังคมไทยควรร่วมกันทำความเข้าใจ
คณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้จัดทำเอกสารแสดงความเห็นในเรื่องการเจรจา FTA กับสหรัฐ ว่า การเจรจาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการลดภาษีสินค้าหรือการเปิดตลาดสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีหัวข้อการเจรจาครอบคลุมประเด็นต่างๆ รวมทั้งหมด 23 หัวข้อ เช่น เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะมีผลต่อการเข้าถึงยา การคุ้มครองพันธุ์พืชและภูมิปัญญาท้องถิ่น, เรื่องการเปิดเสรีการลงทุน เรื่องการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งจะมีผลต่อการเข้ามาใช้ฐานทรัพยากรในประเทศไทยเพื่อการผลิต ผลต่อเรื่องการจัดบริการการศึกษา ภาคการเงินการธนาคาร บริการสาธารณสุข การใช้กระบวนการยุติข้อพิพาทระหว่างนักลงทุนต่างชาติกับรัฐบาลไทยแบบพิเศษแทนการใช้กระบวนการศาลยุติธรรม เป็นต้น เรียกได้ว่าเนื้อหาใน FTA เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่การมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมตรวจสอบไม่ให้รัฐบาลทักษิณขายประเทศนั้นแทบไม่มีเลย มีแต่ประโยคที่ว่า "จงเชื่อผู้นำ" แต่ผู้นำกลับทำตัวไม่น่าเชื่อถือ มีผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเงื่อนไม่น่าไว้ใจ
ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญานั้น มีประเด็นที่น่าเป็นห่วงต่อสุขภาพแบบตรงไปตรงมาหลายประเด็น
ในกรอบการเจรจา สหรัฐเรียกร้องให้ไทยขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรให้ครอบคลุมสิ่งมีชีวิตทุกประเภท ถ้าไทยต้องยอมรับนำระบบสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์มาใช้ ต้นทุนพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ในการผลิตจะสูงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เป็นภาระต้นทุนของเกษตรกรที่ต้องแบกรับ เมื่อร่วมกับมาตรการการเปิดเสรีการบริการ การลงทุนและการเปิดตลาดสินค้าเกษตรนั้นจะสร้างผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการผูกขาดเมล็ดพันธุ์และทรัพยากรชีวภาพ เกษตรกรนับล้านครอบครัวต้องสูญเสียอาชีพ เกษตรกรจะจนลง แต่ประชาชนกลับต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับความจำเป็นพื้นฐาน รายจ่ายมาก รายได้ต่ำ สุขภาพจะดีได้อย่างไร
ที่สำคัญ ประเทศไทยจะไม่สามารถใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในการจำกัดการนำเข้าสินค้าดัดแปลงพันธุกรรม(GMOs) จากสหรัฐได้ ยกเว้นถ้ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ที่ชัดเจน ซึ่งจะหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ให้เห็นผลเสียที่ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้นคงทำได้ยาก การยึดหลักกันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าแย่จะแก้ไม่ทัน ด้วยการห้ามการปลูกและการนำเข้าสินค้า GMOs ก็จะทำไม่ได้อีกต่อไป การปนปื้อน GMOs จะทำให้ผลิตผลการเกษตรของไทยถูกปฏิเสธจากประเทศคู่ค้ารายใหญ่อื่นๆเช่นสหภาพยุโรป
การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐอเมริกา ได้มีการหยิบยกเรื่องสิทธิบัตรยาขึ้นมาเจรจา จากการติดตามกรอบการเจรจาของสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆ เช่นสิงคโปร์ หรือออสเตรเลีย พบว่าได้มีการยื่นข้อเสนอให้ประเทศเหล่านั้นปรับแก้กฎหมายสิทธิบัตรยาในประเทศ ให้มีการถือครองสิทธิบัตรยายาวนานขึ้นจาก 20 ปี เป็น 25 ปี ซึ่งหมายถึงการผูกขาดการตลาดของบริษัทยาเพียงเจ้าเดียว ทำให้ผู้ป่วยและผู้บริโภคต้องซื้อยาในราคาแพง ประชาชนที่ยากจนไม่สามารถเข้าถึงยาได้ โดยเฉพาะยาต้านไวรัสเอดส์ และยาตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค
งานนี่คงแย่แน่สำหรับคนไทยและโรงพยาบาลไทย เพราะงบ 30 บาทที่น้อยนิด แต่ค่ายาใหม่ๆจะแพงหูฉี่ คนไทยอาจต้องใช้ยาตระกูลเพนนิซิลลิน 5 แสนไปก่อน รอยาดีๆหมดสิทธิบัตรอีก 25 ปีค่อยมีปัญหาซื้อหามาใช้ แล้วจะมีโรคภัยไข้เจ็บสักกี่โรคกันที่สามารถรอได้ถึง 25 ปี
Relate topics
- "หมอประเวศ" ซัดสาธารณสุขไทยเหลว เหตุพัฒนาแต่ยอด
- ความเชื่อเรื่องวิญญาณ
- แพทย์ไทยตายอย่างไร
- 30 บาท กับทางออกไม่ให้โรงพยาบาลเจ๊ง
- ห้ามโฆษณาเหล้า จะลดการดื่มเหล้าได้จริงหรือ
- แก้จนของจริงที่คำปลาหลาย
- ว่าด้วยทุจริตรถพยาบาลฉุกเฉิน
- ผู้สูงอายุเฮ ใส่ฟันปลอมฟรีทั้งปาก
- สุขภาพผู้สูงอายุ กับ กลไกซีอีโอ
- มองมุมกลับ ขยะล้นเมือง