สงขลาพอเพียง : เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจังหวัดสงขลา - Songkhla Health

หนุนเสริมภาคี ประสานความร่วมมือ

พระพุทธสิหิงค์ ..พระสำริดโบราณคู่เมืองสงขลา

by kai @17 ม.ค. 49 21:40 ( IP : 58...134 ) | Tags : แนะนำจังหวัดสงขลา

พระพุทธสิหิงค์ ..พระสำริดโบราณคู่เมืองสงขลา

ถ้าเอ่ยถึงพระพุทธสิหิงค์ ผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เนื่องจากว่าพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่มีประวัติความเป็นมาที่สุดแสนจะพิสดารตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มมีการสร้าง ไปจนถึงเมื่อได้มีการหล่อองค์พระจนแล้วเสร็จ ก็ได้มีคำทำนายตลอดจนมีมูลเหตุของการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และจากตำนานที่ปรากฏก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันระหว่างประเทศไทยกับเมืองลังกาสิงหลมาตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับตำนานเมืองต่างๆ ในหลายจังหวัดทั่วภูมิภาคของประเทศไทยอีกด้วย สำหรับในประเทศไทยนี้เท่าที่พอจะรวบรวมข้อมูลได้ พบว่ามีพระพุทธสิหิงค์ปรากฏอยู่อย่างน้อย ๖ องค์ด้วยกัน กล่าวคือ องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช องค์หนึ่งอยู่ที่วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ องค์หนึ่งอยู่ที่ จ.เชียงราย องค์หนึ่งอยู่ที่กรุงเทพ องค์หนึ่งอยู่ที่ จ. ตรัง(ทราบข่าวว่าถูกโจรกรรมหายไปแล้ว) และอีกองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดเลียบ อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา นี่เอง

ประวัติความเป็นมาของพระพุทธสิหิงค์ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า ได้มีการสร้างขึ้นที่เมืองลังกาสิงหล และจะต้องเสด็จไปสู่ชมพูทวีปโดยการลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป จนกระทั่งพระพุทธศาสนาครบ ๒,๐๐๐ ปี กษัตริย์จากเมืองลังกาสิงหลก็จะอัญเชิญกลับ& ซึ่งในระหว่างที่พระพุทธสิหิงค์ได้เสด็จมาถึงประเทศไทย ก็ได้มีทั้งการอัญเชิญรวมถึงการใช้เล่ห์กลช่วงชิงกันไปมาระหว่างเมืองต่างๆ เพื่อที่จะให้ได้ครอบครององค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ ด้วยเหตุนี้ในภายหลังจึงเป็นเหตุให้เกิดมีการกล่าวอ้างกันอยู่บ่อยครั้งว่า..พระพุทธสิหิงค์ที่ปรากฏอยู่ที่เมืองของตนนั้นเป็นองค์แท้จริงที่มาจากเมืองลังกาสิงหลแต่ดั้งเดิม แต่กระนั้นจนถึงเวลานี้นักวิชาการหลายท่านก็ยังหาได้สรุปชี้ชัดลงไปไม่ว่าองค์ใดจะเป็นองค์ดั้งเดิม มิหนำซ้ำยังคงมีการสืบหาร่องรอยของพระพุทธสิหิงค์องค์จริงกันตลอดมา
สำหรับพระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานอยู่วัดเลียบ อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา นี้ เป็นพระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะที่งดงามมากองค์หนึ่งไม่แพ้องค์อื่นๆเลย ลักษณะเป็นพระพุทธรูปเนื้อสำริด ปางมารวิชัย หน้าตักกว้างประมาณ ๒๒ นิ้ว ผมได้พยายามสืบเสาะถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธสิหิงค์องค์นี้แต่ก็พบว่ามีข้อมูลปรากฏอยู่น้อยมาก แม้กระทั่งเจ้าอาวาสของวัดเลียบเองก็ยังเล่ารายละเอียดได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะทราบเพียงเลาๆว่าเดิมทีพระพุทธสิหิงค์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปสำริดที่เคยประดิษฐานอยู่ที่วัดพระสิงห์ ต. บ่อดาน อ. สทิงพระ จ.สงขลา มาก่อน และต่อมาก็ได้มีการเคลื่อนย้ายมาประดิษฐานอยู่ที่วัดเลียบจนถึงปัจจุบัน เมื่อไม่ได้รายละเอียดเท่าที่ควรผมจึงจำเป็นต้องเดินทางไปสืบหาประวัติความเป็นมาจากที่วัดพระสิงห์ดูให้รู้แจ้ง แต่ที่สุดก็ยังไม่พบว่าจะมีชาวบ้านคนใดที่จะสามารถอธิบายเรื่องราวในเชิงประวัติได้ชัดเจนเลย แถมยังพบว่ามีชาวบ้านหลายคนที่เป็นคนในพื้นที่ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อนด้วยซ้ำไปว่าเคยมีพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่ที่นี่ ! ผมค่อนข้างจะตกใจเมื่อพบว่าแม้แต่ชาวบ้านในพื้นที่เองก็เริ่มจะไม่รู้ถึงประวัติที่มาที่ไปที่เคยเกิดขึ้นที่นี่.. มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกเหตุที่ฉายแววว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นใกล้จะสูญหายไปทีละน้อยๆ แล้ว! เมื่อผมกลับมาจึงต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารมากเป็นพิเศษ กระทั่งได้พบข้อมูลบางประการที่น่าสนใจว่า มูลเหตุที่ได้เรียกชื่อของวัดว่า วัดพระสิงห์ นั้นน่าจะมีที่มาจาก ๒ นัย นัยแรกสันนิษฐานว่ามาจากพุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้ที่มีความสง่างามเหมือนดั่งพญาราชสีห์ โดยความเชื่อนี้ได้ปรากฏอยู่ในตำนานพระพุทธสิหิงค์ ที่แต่งเป็นภาษามคธโดยพระโพธิรังษี ซึ่งพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาลลักษณ์เปรียญ) ได้แปลเป็นภาษาไทยไว้ในชื่อเรื่อง ตำนานพระพุทธสิหิงค์ ดังที่มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า ..ประชุมชนพุทธบริสัชนั้นถวายพระนามเรียกร้องทั่วกันว่าพระพุทธสิหิงค์ เพราะเหตุว่าทรวดทรงอวัยวะทั้งปวงแลละม้ายคล้ายกับราชสีห์หรือนัยหนึ่งว่า ทรวดทรงองคาพยพแห่งองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคย์เจ้า ทรงอวัยวะทั้งปวงละม้ายเหมือนราชสีห์.. ส่วนอีกนัยหนึ่งนั้น เชื่อกันว่ามาจากการเรียกองค์พระพุทธรูปที่มีประวัติความเป็นมาจากชาวสิงหลหรือลังกาในสมัยโบราณ หรือหากจะกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ ที่เรียกกันว่า พระสิงห์ นั้นก็หมายถึงพระที่มาจากเมืองสิงหล(ลังกา)นั่นเอง ในเอกสารกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุง พ.ศ. ๒๒๗๒ ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระในสมัยอยุธยาได้ระบุว่า วัดพระสิงห์ อ.สทิงพระ จ.สงขลา เป็นวัดที่ขึ้นกับวัดเขียนบางแก้ว คณะป่าแก้ว หัวเมืองพัทลุง ซึ่งบริเวณโดยรอบวัดพระสิงห์แห่งนี้ก็เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ด้วย บริเวณนี้นับเป็นชุมชนใหญ่ที่สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุที่ร่วมสมัยกับเมืองสทิงพระในสมัยศรีวิชัย มีการพบเศษภาชนะเครื่องใช้ทั้งเครื่องถ้วยแบบพื้นเมืองและเครื่องถ้วยแบบสังคโลกแตกหักกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปเป็นจำนวนมาก

วัดพระสิงห์ (ร้าง) ในปัจจุบัน ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ บ.พังตำเสา ต.บ่อดาน อ.สทิงพระ จ.สงขลา สภาพของที่ตั้งเป็นโคกหรือเนินดินสูงที่รายล้อมไปด้วยทุ่งนา มีต้นสำโรงและต้นมะม่วงคันขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณเขตวัด (ใครที่อยากดูต้นสำโรงก็สามารถที่จะมาดูได้ในบริเวณวัด) ห่างจากวัดไปทางทิศเหนือประมาณ ๔๐ เมตร มีบ่อน้ำโบราณรูปทรงกลม ๑ บ่อ ชาวบ้านในละแวกนี้เรียกกันว่า บ่อฆ้อง เนื่องจากวันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้นมาจากบ่อแห่งนี้ นอกจากนี้ชาวบ้านยังเชื่อกันว่าภายในบ่อฆ้องแห่งนี้ยังมีทรัพย์สมบัติของปู่ย่าตายายฝังอยู่ สภาพของบ่อฆ้องในปัจจุบันได้ถูกขุดขยายให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นและบริเวณรอบๆ ยังคงพบเศษเครื่องถ้วยหลากหลายรูปแบบปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในการสำรวจคราวนั้นผมบังเอิญได้พบเม็ดลูกปัดลักษณะเป็นหินแก้วหลอมสีฟ้าใสลักษณะเหมือนๆ กับที่มีการพบโดยทั่วไปในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ จำนวน ๑ เม็ดที่บริเวณริมขอบบ่อฆ้องแห่งนี้ด้วย ลักษณะของเม็ดลูกปัดก็สำหรับในทางทิศใต้ของวัดพบว่ามีพัง (ตระพัง) ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ ๑ พัง ชาวบ้านในละแวกเรียกกันว่า พังโหมร.ง คำว่า โหมร.ง เป็นชื่อเรียกต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งคือ ต้นสำโรง นั่นเอง และที่บริเวณโดยรอบพังโหมร.งแห่งนี้ก็มีเศษเครื่องถ้วยกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน

ในพื้นที่ของวัดพระสิงห์(ร้าง) แห่งนี้ นอกจากจะพบว่ามีพระพุทธสิหิงค์แล้ว ชัยวุฒิ พิยะกูล ยังได้กล่าวไว้ในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๒๙ เล่ม ๖ หน้า ๒๔๐๑ สรุปความได้ว่า เคยมีผู้ขุดพบลูกนิมิตทำด้วยหิน กระปุกใส่กระดูก พระพุทธรูปปูนปั้น ๑ องค์ (ชำรุด) ชิ้นส่วนของปล้องไฉนเจดีย์ซึ่งทำจากหินปะการังเป็นรูปทรงกลมมีรูกลวงตรงกลางจำนวนหลายชิ้น และสำหรับโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่พบก็คือ พระนารายณ์จำหลักหิน ซึ่งเป็นรูปเคารพอันเนื่องในศาสนาพราหมณ์ ลักษณะประทับยืน มี ๔ กร พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงถือคทา (กระบอง) พระหัตถ์ขวาล่างทรงถือภู (ก้อนดิน) พระหัตถ์ซ้ายบนทรงถือสังข์ และพระหัตถ์ขวาบนทรงถือจักร ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของพระนารายณ์ ในส่วนของพระเศียรทรงสวมมงกุฏทรงกระบอก ผ้าทรงยาวถึงพระชงฆ์ ดูคล้ายโธตีของอินเดีย เครื่องประดับมีเพียงกุณฑลกลมใหญ่ที่พระกรรณทั้ง ๒ เพียงคู่เดียว พระบาททั้ง ๒ ขาดหายไป ซึ่งนักโบราณคดีได้กำหนดอายุของพระนารายณ์องค์นี้ไว้ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ๑๒ ซึ่งจากหลักฐานที่พบนี้น่าเป็นไปได้ว่าบริเวณนี้อาจจะเคยเป็นศาสนสถานอันเนื่องในศาสนาพราหมณ์มาก่อนก็ได้

จนถึงเวลานี้แม้ว่าจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์องค์นี้ได้มากนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็พอจะได้เค้ารอยบางประการว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดโบราณที่เคยประดิษฐานอยู่ในบริเวณชุมชนโบราณสทิงพระมาก่อน

ชาญณรงค์ เที่ยงธรรม
e-mail : gibyotagar@hotmail.com
โดย Focus Team

Comment #1
นารัด (Not Member)
Posted @1 พ.ย. 50 12:52 ip : 202...23

ศักดิ์สิทธิ์จริงคับ

Comment #2
นารัด (Not Member)
Posted @1 พ.ย. 50 12:52 ip : 202...23

ศักดิ์สิทธิ์จริงคับ

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว