ช่องว่างที่ยังรอการเยียวยา
" ช่องว่างที่ยังรอการเยียวยา "
ในสังคมไทยยังมีช่องว่างของความแตกต่างมากมาย ในขณะที่บางคนมีกินเหลือเฟือ มีเงินเหลือใช้ แต่บางครอบครัวก็ยากจนสิ้นดี
เช่นชีวิตจริงของ 2 ตายายที่ล้วนสังขารทรุดโทรม ทางเข้าบ้านเป็นทางเล็กเพียงที่พอให้ล้อรถจักรยานผ่านเท่านั้น บ้านเป็นเรือนไม้เล็กๆ ที่กิน ที่นอน ครัวและที่เก็บของคือที่เดียวกัน เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคือหลอดไฟฟ้าเพียง 2 ดวง มีข้าวกินไม่ครบมื้อ มีรายได้จากการรับจ้างถางหญ้า เมื่อมีคนจ้างวันละ 30 บาท คุณยายเป็นโรคถุงลมโป่งพอง พูดได้เพียง 5 คำก็ต้องหยุดหายใจหอบๆ ซ้ำขายังพิการเดินไม่สะดวก คุณลุงหลังค่อม กร้านลมกร้านแดดและสูบใบจากจัดวันละกว่า 10 มวน
เราจะพบว่า ปัญหาสุขภาพนั้นแยกไม่ได้จากปัญหาปากท้องและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของสรรพสิ่งมิอาจมองอย่างแยกส่วนได้ สังคมที่พัฒนาไปสู่ความศิวิไลซ์นี้ช่างน่าตระหนกจริงๆ ที่เบื้องหลังที่ถูกทิ้งไว้คือผู้ด้อยโอกาสทางสังคมอีกมากมาย ที่ดิ้นรนสู้ชีวิตอย่างไม่มีวันที่จะได้ลืมตาอ้าปาก ยากแม้กระทั่งการมีข้าวกินให้ครบทั้ง 3 มื้อ
อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยบอกว่า ความรุนแรงนั้นมีหลายระดับชั้น ความรุนแรงทางตรงเช่นการฆาตกรรม สงครามเป็นสิ่งที่เห็นง่าย แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่นกรณีของตายายคู่นี้ เขาทั้งสองยากไร้สิ้นดีเพราะโครงสร้างของระบบสังคมที่เป็นอยู่เป็นระบบที่ไม่เกื้อกูลคนจน เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่กระทำต่อคนจน แม้คนจนจะดิ้นรนอย่างไรก็หนีไม่พ้นความจน จะขยันทำงานวันละ 20 ชั่วโมงก็อาจมีเพียงข้าวกินพออิ่มท้องไปวันๆ
โลกนี้พัฒนาไปในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ยิ่งใหญ่ คนยากจนก็เป็นได้เพียงคนสวน คนทำความสะอาด ยาม คนเก็บรถเข็นในห้างอภิสรรพสินค้า หรือเป็นเพียงคนตัดหัวปลาใส่กระป๋องที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำในโรงงานเท่านั้น ในขณะที่อุดมคติที่ควรจะเป็นนั้น เขาควรจะได้รับการพัฒนาให้เป็นเกษตรกรอิสระในที่ดินของตนเอง ที่สามารถสร้างสรรค์ชีวิตอย่างเป็นอิสระใต้ฟ้าเดียวกันเช่นเดียวกับผม จึงจะเป็นการส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
" ในท่ามกลางการพัฒนาได้พิสูจน์แล้วว่า คนจนกำลังมีจำนวนมากขึ้น และคนจนก็จนลงกว่าเดิมด้วย ช่องว่างคนรวยและคนจนถอยห่างออกจากกันมากขึ้นทุกวัน เมื่อผนวกรวมกับปัญหาอย่างการไม่มีที่ทำกิน ความจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อมีการก่อสร้างอภิมหาโครงการความขัดแย้งในสังคมก็ยิ่งจะดูเด่นชัดมากขึ้น
คนยากจนจะรู้สึกว่าตนเองถูกกระทำซ้ำซาก เมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ตนเองก็จะถูกปลดออกจากงานก่อน อยู่ในสลัมในเมืองก็ถูกเวนคืนก่อน กลับไปในชนบทก็สูญเสียที่ดินก่อน เมื่อเข้าไปจับจองป่าสงวนก็ถูกจับกุมก่อน แม้ยามเจ็บป่วยไปโรงพยาบาลใช้สิทธิที่รัฐบาลสัญญาไว้ โรงพยาบาลก็บอกให้รอก่อน จนคนจนบางคนรอไม่ไหว ตายไปก่อนเพราะรอไม่ไหวก็มีให้เห็น การที่มนุษย์ตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรมซ้ำซากเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นผลจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ( structural violence ) ไม่ใช่ว่าใครจะเจตนาทำร้ายรังแกคนจน แต่ตัวระบบและโครงสร้างนั่นเองที่เป็นปัญหาจนก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันถึงเพียงนี้ "
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องช่วยกันทำคือ ช่วยกันสร้างระบบสังคมที่เกื้อกูลคนจน หยุดวงจรแห่งความรุนแรงและความอยุติธรรมเชิงโครงสร้างลง สุขภาพจึงจะดีได้ ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ทรัพย์สินของเศรษฐี 200 คนแรกของโลกรวมกัน มีมูลค่ามากกว่ารายได้ของคน 41% หรือ 2,500 ล้านคนทั่วโลกรวมกัน ยอดขายของห้างคาร์ฟูสัญชาติฝรั่งเศสที่มีสาขาทั่วโลกเกือบ 5,000 แห่ง มียอดขายในปี 2543 ถึง 64,800 ล้านยูโร หรือแปลว่ามากกว่างบประมาณของประเทศไทยทั้งปีถึง 2 เท่า
หากเรารู้อย่างนี้แล้ว มึนไหมครับว่าเราจะเป็นไท เป็นอิสระจากพันธนาการในกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ดูดเอาความมั่งคั่งจากทุกมุมโลกไปสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่พันแห่งบนโลกนี้ได้อย่างไร โจทย์นี้เป็นโจทย์ยาก แต่หากสนใจที่จะแสวงหาคำตอบจากนักคิดและคนที่สนใจสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมแล้ว ก็ย่อมพบหนทางที่มีความหวังเสมอ ซึ่งผมเองก็พยายามเรียนรู้ที่จะหาคำตอบอยู่ด้วยเช่นกัน
Relate topics
- "หมอประเวศ" ซัดสาธารณสุขไทยเหลว เหตุพัฒนาแต่ยอด
- ความเชื่อเรื่องวิญญาณ
- แพทย์ไทยตายอย่างไร
- 30 บาท กับทางออกไม่ให้โรงพยาบาลเจ๊ง
- ห้ามโฆษณาเหล้า จะลดการดื่มเหล้าได้จริงหรือ
- FTA ไทย-สหรัฐ สุขภาพคนไทยจะรุ่งหรือร่วง?
- แก้จนของจริงที่คำปลาหลาย
- ว่าด้วยทุจริตรถพยาบาลฉุกเฉิน
- ผู้สูงอายุเฮ ใส่ฟันปลอมฟรีทั้งปาก
- สุขภาพผู้สูงอายุ กับ กลไกซีอีโอ