สงขลาพอเพียง : เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจังหวัดสงขลา - Songkhla Health

หนุนเสริมภาคี ประสานความร่วมมือ

อบรมให้ความรู้ " แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล"

photo  , 300x225 pixel , 53,530 bytes.

คำถามที่มีผู้สอบถามเป็นประจำ คัดลอกจากหนังสือ ถาม-ตอบปัญหา การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม

การจัดการศึกษา แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล  (Individualized Education Program: IEP) และแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan: IIP) ต่างกันอย่างไร แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล  (IEP)  เป็นแผนการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล  โดยมีแผนระยะยาวและระยะสั้น  โดยปกติจะเป็นแผนระยะ  1  ปี  และมีการทบทวนทุกภาคเรียน  การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้น ๆ  ทุกฝ่ายจะมีส่วนร่วมพิจารณาในการจัดบริการทางการศึกษาให้สอดคล้องเหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเด็ก  ทั้งการจัดการเรียนการสอน  การวัดประเมินผล  และบริการพิเศษ  ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา  แผนการสอนเฉพาะบุคคล  (IIP)  เป็นแผนการสอนจัดขึ้นเฉพาะเจาะจงสำหรับนักเรียนคนนั้นเพื่อช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์  และเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน  IEP

ในโรงเรียนหนึ่งควรรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมกี่คนจึงจะเหมาะสม จำนวนเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่จะเข้าไปเรียนรวมนั้น  ไม่มีเกณฑ์กำหนดตายตัวแต่โดยทั่วไปในทางปฎิบัติการให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษขึ้นมาเรียนรวมในห้องเรียนปกติห้องเรียนหนึ่งไม่ควรเกิน  3 คน หรืออาจมากกว่านั้น โดยให้คำนึงถึงประเภทระดับความพิการ และความพร้อมของเด็กด้วย

หลักสูตรและการวัดประเมินผลเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะแตกต่างกับเด็กปกติหรือไม่ เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนจะต้องมีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล  (Individualized  Education  Program  : IEP)  สำหรับเด็กปกติจะมีเกณฑ์มาตรฐานซึ่งกรมวิชาการกำหนดไว้  เด็กที่มีความต้องพิเศษมีมาตรฐานเป็นรายบุคคลเพราะมาตรฐานของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละคนไม่เท่ากัน  การจัดหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะใช้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นศูนย์กลาง  หลักสูตรต้องสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละคน  สอนตามความต้องการของเด็ก  สอนไปวัดผลไปการวัดผลเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะประเมินตามที่กำหนดไว้ใน  IEP  ประเมินความก้าวหน้าของเด็ก

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  ควรจัดอย่างไร การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษควรจัดเป็นรายบุคคล  เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน  การศึกษาจึงควรสนองความต้องการของเด็กเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละคนจึงต้องมีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล  (IEP)  แต่การสอนอาจรวมกลุ่มสอนเป็นกลุ่มเด็ก ๆ ได้ หากเด็กมีแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคลคล้ายกัน

หลักสำคัญในการจัดการเรียนการสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่ครูพึงกระทำมีอะไรบ้าง หลักสำคัญมีดังนี้  ขอให้มีน้ำใจ  โอบอ้อมอารี  และอีกประการคือ  ต้องรู้จักสังเกตพฤติกรรม  เข้าใจเด็ก  ค้นหาปัญหาของเด็กว่าอยู่ที่ไหน  ความต้องการของเด็กอยู่ที่ไหน  สิ่งไหนเด็กชอบ  สิ่งไหนเด็กไม่ชอบ  ทำอย่างไรเด็กจึงจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น  ครูปกติที่ไม่ได้รับการอบรมก็สามารถสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้  หากเป็นคนช่างสังเกตและใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม  นั่นคือ  หลักสำคัญในการสอน  การสังเกตเป็นวิธีการวิทยาศาสตร์  ถ้าครูนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนก็จะสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้ทุกคน

จำเป็นหรือไม่ที่เด็กที่มีความต้องการพิเศษจะต้องเรียนกับครูที่จบการศึกษาพิเศษโดยตรง โดยหลักการครูที่จบการศึกษาพิเศษจะมีความรู้ด้านการศึกษาพิเศษมากกว่าครูที่ไม่ได้เรียนมาด้านนี้  แต่การเป็นครูที่ดียังมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการ  เช่น  การเอาใจใส่  ความช่างสังเกต  ความมั่นใจ  การตั้งใจสอน  รู้จักสังเกตพฤติกรรม  ครูที่สอนให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของเด็ก  ครูที่เอาใจใส่เด็ก ครูที่ไม่ดุเด็ก  ไม่ลงโทษเด็กโดยใช้วาจาหยาบคาย  ด่าทอ  เฆี่ยนตี  ครูที่รู้จักให้กำลังใจให้แรงเสริมเด็ก  ครูประเภทนี้จะสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ได้  พบว่า  ครูบางคนไม่จบการศึกษาพิเศษ  แต่สอนเด็กได้ดีกว่าครูที่จบการศึกษาพิเศษบางคนก็มี

การสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  เป็นหน้าที่ของครูทางการศึกษาพิเศษเท่านั้นใช่หรือไม่ การให้การศึกษาแก่เด็กเป็นหน้าที่ของทุกคนในโรงเรียนควรถือเป็นหน้าที่โดยตรง  สำหรับครูที่สอนเด็กปกติจะต้องสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่เรียนรวมในโรงเรียนเดียวกัน  หากครูที่สอนเด็กปกติไม่มีความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษก็ควรเป็นหน้าที่ของครูคนนั้นที่จะต้องใฝ่หาความรู้จนสามารถสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา "เด็กดาวน์ซินโดรม" เรียนหนังสือในโรงเรียนปกติได้หรือไม่ ได้  แต่ต้องเลือกโรงเรียนที่มีนโยบายรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเข้าเรียนร่วม  การส่งเด็กดาวน์ซินโดรมเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติในระดับก่อนประถมศึกษาเป็นเรื่องที่เหมาะสมเพราะเน้นพัฒนาการในหลาย ๆ  ด้าน  มิใช่แต่เน้นวิชาการเท่านั้น  แต่เมื่อขึ้นระดับประถมศึกษาแล้ว  เนื้อหาวิชามากขึ้น การประเมินผลแยกย่อยมากขึ้น  ทำให้เด็กดาวน์ซินโดรมมักไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ  โรงเรียนที่เหมาะสมไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนใหญ่  หรือมีชื่อเสียง  อาจจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูและผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง  เข้าใจ  เสียสละ  มีนักเรียนไม่มากนัก  โรงเรียนที่มีการใช้ระบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กกลุ่มนี้ควรใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล  (IEP)  มักเหมาะสมกับเด็กกลุ่มนี้ แต่ต้องได้รับความสนใจจากครู วิธีการสอนต้องมีการเน้นย้ำและแยกย่อยจากง่ายไปยาก (Task Analysis)  ที่สำคัญครูต้องมีความอดทน ผู้ปกครองและครูต้องช่วยกันเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการให้เหมาะสม

ก่อนนำ  "เด็กดาวน์ซินโดรม" เข้าสู่ระบบโรงเรียนควรมีการเตรียมการอย่างไร ผู้ปกครอง  "เด็กดาวน์ซินโดรม"  ควรเตรียมให้เด็กได้รับการส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่แรกเริ่ม (Early Intervention) ซึ่งเด็กจะได้รับการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ • ด้านร่างกาย-ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดใหญ่  กล้ามเนื้อมัดเล็ก • ด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน  เช่น  การรับประทานอาหาร  การรักษาความสะอาด และการขับถ่าย • ด้านสติปัญญา  และภาษา  -  ควรฝึกให้เด็กฟังและปฏิบัติตามคำสั่ง  และสอนคำศัพท์ที่ควรทราบ  ถ้าเป็นไปได้ควรมีการสื่อสารกับผู้อื่นได้บ้างก่อนเข้าสู่ระบบโรงเรียน • ด้านอารมณ์และสังคม  -  ควรฝึกให้เด็กรู้จักมีปฎิสัมพันธ์ต่อผู้อื่น  เคารพกติกาสังคม  รู้จักการรอคอย  การแบ่งปัน  และมีน้ำใจ





"เด็กดาวน์ซินโดรม" หรือ "เด็กปัญญาอ่อน"  ควรเข้าเรียนเมื่ออายุเท่าไร ไม่มีข้อกำหนดขึ้นอยู่กับความพร้อมในด้านต่าง ๆ  ที่กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญคือ  ควรให้เด็กมีความพร้อมพื้นฐาน  เช่น  เดินได้  รับประทานอาหารเองได้  ควบคุมการขับถ่ายได้  และมีความเข้าใจภาษาบ้างแม้ว่าจะพูดไม่ชัด  แต่สื่อสารกับครูและเพื่อนได้เข้าใจ  ถ้าเด็กมีความพร้อม    พื้นฐานเหล่านี้แล้วสามารถนำนักเรียนเข้าเรียนในระดับอนุบาลได้ ในห้องเรียนที่มี  "เด็กดาวน์ซินโดรม" และเด็กพิการประเภทอื่นอยู่ร่วมกัน ควรจัดการเรียนการสอนอย่างไรดี ที่จริงแล้วในห้องเรียนหนึ่งไม่ควรมีเด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กพิการมากกว่า  1-2  คน  แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้  การจัดการเรียนการสอนควรเป็นกลุ่มเล็ก  (Small  Group)  จัดชั้นเรียนเป็นมุมให้นักเรียนมีอิสระในการเรียนรู้  ค้นคว้า  ต้องสร้างความสนใจด้วยกิจกรรมและสื่อการสอน  มีการเสริมแรงสม่ำเสมอ  ครูต้องดูในจุดเด่นจุดด้อยของเด็กแต่ละคน  แล้วส่งเสริมให้ถูกทาง  ครูต้องมีความอดทน  เสียสละ  และหาความรู้ในอาการ  ข้อจำกัดที่เด็กมีและความต้องการของเด็กแต่ละประเภทอยู่เสมอ ลูกเป็น  "เด็กดาวน์ซินโดรม" เคยเรียนร่วมในโรงเรียนปกติมักได้รับปฎิกิริยาต่อต้านจากผู้ปกครองเด็กปกติ ควรทำอย่างไร เป็นเรื่องปกติที่จะพบประสบการณ์เช่นนี้ในสังคมไทย  การที่มีผู้แสดงปฎิกิริยาดังกล่าวเนื่องจาก  "ความไม่รู้จริง"  ของผู้นั้นคิดว่าความพิการเป็นสิ่งน่าสังเวช  น่ารังเกียจ  และอาจติดต่อคล้ายโรคติดต่อ  สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้  ความเข้าใจ  เกี่ยวกับความพิการ  หรือความผิดปกติต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทั้งการแพทย์  การสาธารณสุข  และการศึกษาที่จะเปิดวิสัยทัศน์และทัศนคติเกี่ยวกับความพิการแก่คนในสังคมให้กว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่  และภาพพจน์ของผู้พิการที่สำแดงออกมาสู่สาธารณชนนั้น  ควรก่อให้เกิดกำลังใจมากกว่าให้เกิดความสมเพชเวทนา  และถ้าผู้ปกครอง  "เด็กดาวน์ซินโดรม"  จะนำเด็กเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติ  ควรจะต้องศึกษาก่อนนำลูกเข้าเรียนว่า  โรงเรียนนั้นมีนโยบายรับเด็กพิการเรียนร่วมกับเด็กปกติหรือไม่  ถ้าไม่มีนโยบายนั้นก็ควรเปลี่ยนโรงเรียนให้เหมาะสม  แต่ถ้าโรงเรียนยืนยันว่ามีนโยบายเรียนร่วม  ผู้บริหารก็ควรทำความเข้าใจกับเด็กปกติและผู้ปกครอง  และขอความร่วมมือให้มีการปรับตัว  เปิดวิสัยทัศน์  และทัศนคติที่มีต่อเด็กพิการให้ดีขึ้นอย่างไรก็ดี  ผู้ปกครองเด็กดาวน์-    ซินโดรมต้องมีความหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อปฎิกิริยาของคนรอบข้าง  อีกทั้งควรจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาการของลูกให้ชัดเจน  เพื่อสามารถอธิบายให้เป็นวิทยาทานแก่ผู้ไม่เข้าใจได้ "เด็กดาวน์ซินโดรม" หรือ "เด็กปัญญาอ่อน" เรียนได้สูงสุดระดับใด ความจริงแล้ว  ความสามารถทางด้านวิชาการของเด็กดาวน์ซินโดรมนั้นมีข้อจำกัด  แต่ทั้งนี้ศักยภาพของเด็กและประสบการณ์ในการเลี้ยงดูไม่เหมือนกัน  เป็นการยากที่จะกำหนดกฎเกณฑ์เป็นทฤษฎี  ออกมาว่าเด็กดาวน์ซินโดรมเรียนได้สูงสุดแค่ไหน  ทั้งนี้ต้องดูลึกในประเภทของอาการดาวน์  ความพิการซ้ำซ้อน  การเลี้ยงดูของครอบครัว  และเด็กได้รับการส่งเสริมการศึกษาแตกต่างกันไป  โดยทั่วไปเด็กดาวน์ซินโดรมมักจะได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษาตอนต้น  บางรายเรียนได้ระดับมัธยม  หรืออาชีวศึกษา  แต่ปัจจุบันมีการศึกษานอกระบบ  และการส่งเสริมการศึกษาตามครอบครัว  ชุมชน  โฮมสกูล  (Home  School)  เด็กอาจจะได้รับการศึกษาถึงระดับอุดมศึกษาได้แต่สถาบันนั้นต้องมีการปรับหลักสูตรให้ยืดหยุ่น  และเน้นทักษะวิชาให้เหมาะสมกับความถนัดของเด็กแต่ละบุคคล  ถึงอย่างไรผู้ปกครองไม่ควรคาดหวังว่าลูกที่มีความพิการเรียนได้ระดับสูง  เพราะค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับใบปริญญามากกว่าประสบการณ์ในการดำรงชีวิต  การช่วยเหลือตนเอง  ไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น  บำเพ็ญตนเป็นคนดี  เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ  และที่สำคัญคือผู้ปกครองควรยอมรับว่าแม้ว่ามีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมก็สามารถทำให้ครอบครัวมีความสุข  มีความอบอุ่นได้  และทำประโยชน์ต่อสังคมได้

เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กหูตึงและปัญญาอ่อนคนหนึ่ง มีลักษณะของเสียงพูดที่ไม่ชัดเจน ลิ้นแข็งมาก มีวิธีการช่วยเหลือเด็กอย่างไรให้สามารถใช้ลิ้นในการพูดได้อย่างคล่องแคล่วขึ้น ควรให้เด็กได้รับการบริหารลิ้นอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งสามารถปฏิบัติต่อไปนี้ 1. แลบลิ้นออกจากปากให้ยาว 2. แลบลิ้นให้ยาว  แล้วตวัดหรือดึงลิ้นกลับ 3. ดุนลิ้นหรือตวัดลิ้นไปมาภายในปาก  จากซ้ายไปขวาและขวาไปซ้ายสลับกัน 4. ใช้ปลายลิ้นแตะที่ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างสลับไปมา 5. ใช้ปลายลิ้นแตะอวัยวะต่าง ๆ  ภายในปาก  ได้แก่ ปุ่มเหงือก  ฟันบน  ฟันล่าง  เพดานแข็งเพดานอ่อน  กวาดลิ้นไปมาให้ทั่วปาก 6. ทำลิ้นให้แบนราบและห่อลิ้นสลับไปมา 7. ใช้ปลายลิ้นแตะที่ริมฝีปากซ้ายขวาสลับกันอย่างรวดเร็ว 8. ม้วนข้างลิ้นเข้าหาตรงกลางลิ้นและแลบลิ้นออกมา 9. รัวปลายลิ้นบริเวณปุ่มเหงือก  ครูผู้สอนพิจารณาและสังเกตดูว่าเด็กน่าจะฝึกลิ้นในลักษณะใดเพิ่มอีกบ้างในการออกเสียงที่ไม่ชัด  เช่น  ถ้าเสียง  ก  ไม่ชัด  ควรฝึกใช้ลิ้นส่วนหลังหรือโคนลิ้นแตะกับบริเวณเพดานอ่อน  ซึ่งสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้กับนักแก้ไขการพูด

เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน  ควรมีคุณสมบัติอย่างไรจึงจะสามารถเรียนรวมในห้องเรียนปกติได้ดี รู้จักตนเอง  ยอมรับในสิ่งผิดปกติของตน - เชื่อมั่นในความสามารถของตน - ขยัน  อดทน  ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ - อารมณ์ดี  ร่าเริงแจ่มใส - ฉลาด  ปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนฝูงได้  แก้ไขสถานการณ์ต่าง  ๆ ได้ดี - มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่เรียนรวมในชั้นเรียนปกติ  ใช้หลักสูตรและวิธีสอนเหมือนหรือต่างกับเด็กปกติอย่างไรบ้าง ในโรงเรียนปกติที่มีเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมในโรงเรียนจะใช้หลักสูตรเดียวกับเด็กปกติแต่ใช้เทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็ก และอาจเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์วิธีการประเมินผลบางอย่าง  เช่น  ให้อ่านหนังสือ  เว้นวรรคตอนแทนการอ่านทำนองเสนาะ  เคาะจังหวะแทนการร้องเพลง  เป็นต้น

หลักการที่สอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน  มีความเหมือนหรือต่างกับเด็กปกติอย่างไร ถ้าเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินประเภทหูหนวกที่เรียนในโรงเรียนพิเศษเฉพาะทางจะมีหลักสูตรที่ต่างจากหลักสูตรของเด็กปกติ  โดยอิงหลักสูตรปกติ  มีการเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็กสามารถวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่ต้องการพัฒนาเด็กได้  แต่ถ้าเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินประเภทหูตึงที่เรียนร่วมในโรงเรียนปกติจะใช้หลักสูตรเช่นเดียวกับเด็กปกติ  แต่มีการดัดแปลงเนื้อหาและการประเมินผลในบางจุด  ตลอดจนการใช้เทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมตามสภาพของเด็ก

เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจะเรียนในชั้นเรียนปกติได้หรือไม่ ได้  เพราะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ในการรับรู้  เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  เช่น  ประสาทสัมผัสในด้านการฟัง  การรับรส  กลิ่น  และผิวสัมผัสที่ใช้มือ  ที่สำคัญคือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นสามารถสื่อสารพูดคุยได้เช่นคนทั่วไป การเรียนการสอนของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ครูจะบรรยาย  อธิบาย  ประกอบสื่อการสอน  ถ้าเรื่องใดปฎิบัติจริงได้  หรือมีส่วนร่วมก็ควรให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นทำ  เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นสามารถจดบันทึกตอบคำถามในห้อง  ทำงานกลุ่ม  ทำการบ้านส่งครูได้  โดยฝึกให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นใช้พิมพ์ดีดทั่วไปที่ใช้การพิมพ์สัมผัส

ครูจะตรวจการบ้านของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นได้อย่างไร  ครูต้องเรียนอักษรเบรลล์หรือไม่ ถ้าครูยังไม่มีความสามารถในการอ่านอักษรเบรลล์ก็ให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นอ่านการบ้านให้ครูฟัง  หรือฝึกให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นทำการบ้านด้วยพิมพ์ดีดสัมผัส การเรียนอักษรเบรลล์ของครูเป็นความรู้ความสามารถพิเศษที่ครูสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นพึงมี  โดยเฉพาะครูที่สอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นในระดับประถมที่ต้องเริ่มต้นทุกอย่างให้แก่เด็กและถ้าไม่มีครูสอนเสริมวิชาการ  (Resource Teacher)  ช่วยก็มีความจำเป็นที่ครูจะต้องเรียนรู้อักษรเบรลล์ด้วย

จะทำอย่างไรให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นทราบว่าครูเขียนอะไรบนกระดาน ขณะที่ครูเขียนไปก็อ่านออกเสียงดัง ๆ  ให้เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นได้ยินด้วย  หรือมอบหมายให้เด็กที่นั่งเรียนคู่กับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นเป็นผู้อ่านสิ่งต่าง ๆ  ที่ครูเขียนบนกระดาน  ถ้าเป็นเด็กที่เห็นเลือนลางควรนั่งใกล้กระดานดำ  นอกจากนั้นใช้เครื่องช่วยสายตาประเภทกล้องส่องทางไกล

จริงหรือไม่ที่เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นมีสัมผัสพิเศษและมีสัมผัสอื่น ๆ  ดีกว่าคนทั่วไป ไม่จริงเลย  เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นไม่มีสัมผัสพิเศษหรือสัมผัสอื่น ๆ  ดีกว่าคนทั่วไป  เช่น  การได้ยิน  ด้วยความจำเป็นตามธรรมชาติที่ต้องการใช้การฟังมาก  ดังนั้นการฝึกฝนการฟังจึงเกิดเป็นทักษะ  มิได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ  ถ้าคนทั่วไปฝึกฝนการฟังให้ดีก็จะเกิดทักษะเช่นกัน
ควรมีเทคนิคการสอนวิชาต่าง ๆ  ให้แก่เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นได้อย่างไร โดยทั่วไปการสอนวิชาพื้นฐานก็ใช้เทคนิคเดียวกับเด็กทั่วไปเพียงแต่จัดหาสื่อเฉพาะให้  เช่น  สื่อภาพนูนที่สามารถใช้ประกอบการเรียนได้ทุกวิชา  สื่อคณิตศาสตร์  ส่วนวิชาที่ต้องใช้เทคนิคการสอนเฉพาะ  เช่น  วิชาพละ  วิชางานบ้าน  วิชานาฎศิลป์  วิชาศิลปะ  ที่ต้องปรับเทคนิคการสอนโดยใช้วิธีวิเคราะห์งาน  ให้เลียนแบบจากการสัมผัส  ให้เรียนจากตัวอย่างที่ทำไว้แต่ละขั้นตอนจนสำเร็จรูปหรือ/และดัดแปลงสื่อให้เหมาะสม เช่น การตีปิงปองลูกเลียดใส่กรวดในลูกปิงปองให้เกิดเสียงดัง

ควรให้ความสำคัญและดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นในด้านใดมาก ดูแลด้านความปลอดภัย  การให้ความรัก  และความอบอุ่นแก่เด็กด้วยการพูดคุย  การสัมผัสด้วยเจตนาดี  เพราะเด็กไม่สามารถสังเกตสายตาที่เมตตาของครูหรือหน้าตาที่เป็นมิตรของผู้คนได้

การสื่อความหมายกับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจะทำอย่างไร ต้องสื่อสารให้เหมาะสมกับระดับการเห็นและการได้ยิน  โดยใช้วิธีดังนี้ - ภาษามือ  (Sign  Language)  การสะกดนิ้วมือ (Finger  Spelling)
- การสัมผัส  การใช้วัตถุสิ่งของ  การใช้ภาพที่เป็นสัญลักษณ์  (Tactile/Object/Picture  Symbol) - อักษรเบรลล์หรืออักษรปกติตัวโต  (Braille  of  Large  Print)

ครูที่สอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นจะเรียนรู้อักษรเบรลล์ได้อย่างไร จากตำรา  จากผู้รู้ที่โรงเรียนสอนคนตาบอด  ศูนย์การศึกษาพิเศษ  หรือจัดอบรมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ เด็กสมองพิการจะสามารถเรียนหนังสือได้หรือไม่ เด็กสมองพิการ  มีระดับความพิการที่แตกต่างกัน  บางคนเป็นไม่มากก็สามารถเรียนหนังสือได้ไม่แตกต่างจากผู้อื่น  แต่ถ้าบางคนที่มีปัญหาทางการเคลื่อนไหวหรือเกร็งมาก  หรือไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้  ก็สามารถเรียนรู้ได้ดีเพียงแต่ต้องปรับกิจกรรม  จัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับสภาพความพิการของเด็ก  สมองพิการแต่ละคนให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม

ทำไมต้องให้การศึกษาแก่เด็กสมองพิการ  เพราะเรียนแล้วเด็กก็เอาไปใช้ไม่ได้  ทำงานไม่ได้ เพราะเด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ไม่ว่าเด็กจะมีความพิการหรือไม่ก็ตาม  และเป็นสิทธิของเด็กทุกคนที่จะต้องได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน  โดยเฉพาะเด็กพิการยิ่งต้องได้รับการส่งเสริมให้ได้รับการเรียนรู้และพัฒนาเต็มตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน  โดยจะต้องหาวิธีการเรียนรู้หรือสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนที่จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดี

การรับเด็กสมองพิการ  หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางกายเข้าเรียนในโรงเรียนจะปลอดภัยหรือเป็นผลดีกับเด็กหรือไม่เพราะอะไร ครูส่วนใหญ่มักกังวลว่าเด็กจะเกิดอันตรายได้ง่ายและดูแลยากซึ่งเด็กสมองพิการหรือเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายส่วนใหญ่จะระมัดระวังตนเองได้  ยกเว้นกรณีที่เด็กมีความบกพร่องทางร่างกายมาก  อย่างไรก็ดี  ครูควรจัดสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตราย  เช่น  ไม่มีสิ่งกีดขวาง  มีทางลาด  การจัดที่นั่งสอดคล้องสภาพความพิการของเด็กแต่ละคน

ครูจะจัดกิจกรรมอย่างไรเมื่อมีเด็กสมองพิการในชั้นเรียนรวม ครูควรจัดให้เด็กสามารถเข้าออกห้องเรียนได้ง่าย  มีการจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับเด็ก  กิจกรรมการเรียนการสอนก็สามารถจัดให้เหมือนกับเด็กในชั้นเรียน  แต่ถ้าเด็กมีอาการเกร็งมากก็จะต้องปรับให้ช้าลง หรือจัดหาสื่อ-อุปกรณ์ช่วยสอน และควรจัดให้มีระบบเพื่อนช่วยเพื่อนในชั้นเรียน กิจกรรมต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของเด็กด้วย ต้องส่งเสริมให้เด็กสามารถได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน

เมื่อมีเพื่อนในชั้นเรียนล้อเลียนหรือเรียกเด็กสมองพิการว่าไอ้เป๋  ไอ้พิการ ฯลฯ  ครูจะทำอย่างไร ครูควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กสมองพิการ  และเด็กที่มีความบกพร่องทางการร่างกายให้เพื่อน ๆ  ในชั้นเรียนได้รู้จัก  ควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยให้เด็กได้ทำกิจกรรมด้วยกัน  เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  หรือครูอาจจะใช้เป็นสถานการณ์จำลองให้เด็กทดลองเป็นเด็กพิการและทำกิจกรรมต่าง ๆ  แล้วถามความรู้สึกของเด็ก ๆ  เหล่านี้ว่ารู้สึกอย่างไรซึ่งจะช่วยให้เด็กได้เข้าใจเด็กพิการมากขึ้น

เด็กสมองพิการต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพความพิการร่วมกับการเรียนหนังสือด้วยหรือไม่ เด็กสมองพิการจำเป็นที่จะต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องร่วมกับการพัฒนาทางด้านการศึกษาด้วย  ซึ่งโรงเรียนอาจจะขอความช่วยเหลือหรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ เช่น กายภาพบำบัด  กิจกรรมบำบัด  อรรถบำบัด  หรือการฝึกพูด  หรือขอคำแนะนำด้านต่าง ๆ  เกี่ยวกับความพิการเพื่อให้เด็กสมองพิการหรือเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพของเด็กแต่ละคน


เด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ  หมายถึงเด็กกลุ่มใด เด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ  ได้แก่  เด็กที่เจ็บป่วยเรื้อรังต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน  หรือต้องรับการตรวจรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ  เช่น  เป็นโรคลมชัก  วัณโรค  โรคหัวใจ  โรคไต  โรคภูมิแพ้  โรคธาลัสซีเมีย  เป็นต้น

ครูควรให้การช่วยเหลือแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพอย่างไรบ้าง การจัดกิจกรรมต่าง ๆ  ต้องคำนึงถึงสภาพความเจ็บป่วย  เช่น  ไม่ให้เด็กออกกำลังกายจนเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป  หรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ  ไม่เร่งรัดเด็ก  ต้องให้เวลาที่เหมาะสม  และครูต้องเตือนเด็กในการดูแลตัวเอง  และปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด  เช่น  การรับประทานยาและอาหารและการไปพบแพทย์ตามนัด  เป็นต้น  นอกจากนั้นยังต้องจัดสอนเสริมให้แก่เด็กเพื่อทดแทนเวลาที่เด็กสูญเสียไปกับการรักษาตัว

เด็กออทิสติก การจัดการศึกษาสำหรับเด็ก/บุคคลออทิสติก จะมีวิธีการอย่างไร การจัดการศึกษาสำหรับเด็ก/บุคคลออทิสติกนั้น  เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  เหมือนปกติทั่วไปในสังคมมนุษย์  ตั้งแต่ชั้นอนุบาลควรใช้หลักสูตรการเรียนการสอนของเด็กปกติ  เพียงแต่ปรับให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละคน มีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)  และแผนการสอนรายบุคคล  (IIP)  มีเกณฑ์การวัดและประเมินผลตาม  IEP  มีจิตวิทยาในการเรียนการสอน  และรู้ธรรมชาติของเด็กออทิสติก  ก็จะช่วยให้เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ได้

การฝึกอาชีพ  การประกอบอาชีพสำหรับเด็กและบุคคลเหล่านี้กระทำได้หรือไม่ ทำได้  เด็กบางคนมีความสามารถพิเศษในบางเรื่อง  ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองและครูควรพยายามสังเกตเด็กว่ามีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องใดและทำกิจกรรมใดได้ดีตามศักยภาพของเด็กและบุคคลออทิสติกที่มีอยู่  มีอาชีพหลายอย่างที่คนเหล่านี้ทำได้  ยกตัวอย่างเช่น  จิตรกร  นักดนตรี  นักเขียนโปรแกรม  คอมพิวเตอร์  ผู้ประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  นักเขียน  งานฝีมือต่าง ๆ  เป็นต้น

เด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้  (LD) เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้เป็นกลุ่มเดียวกัน  Learning Disabilities (LD) หรือไม่ เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้ในห้องเรียนอาจเกิดจากการละเลยใส่ใจ  ความเบื่อหน่าย ความไม่เข้าใจ  การถูกเร่งเรียนจนเด็กเบื่อ  หรือเป็นโรคสมาธิสั้นก็ได้ส่งผลทำให้ติดตามการเรียนในห้องเรียนไม่ทัน  แต่ภาวะ  Learning Disabilities (LD) เป็นความพิการเช่นเดียวกับเด็กตาบอด หูหนวก ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษทางด้านการแพทย์และการศึกษา ในการให้วินิจฉัยและปรับรายละเอียดการเรียนการสอนที่เฉพาะตัว

เมื่อไรจึงจะเรียกเด็กว่าเป็น  Learning Disabilities (LD) แพทย์จะวินิจฉัยว่าเด็กเป็น  Learning  Disabilities  (LD)  ต่อเมื่อมีความสามารถในการอ่านหนังสือและ/หรือเขียนหนังสือและ/หรือคำนวณต่ำกว่าชั้นที่เด็กเรียน  2  ชั้นเรียน  โดยที่มีระดับเชาน์ปัญญาปกติ  และทำให้เด็กติดตามการเรียนตามปกติไม่ได้  มิได้เกิดจากภาวะอวัยวะพิการ  ขาดโอกาสในการเรียน  ปัญญาอ่อนหรือถูกละทิ้ง  ไม่อยากเรียน  หรือเป็นโรคทางจิตเวชอื่น  เช่น  ออทิสติก  เป็นต้น

ครูจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเป็น  Learning Disabilities (LD) ถ้าคุณครูศึกษาถึงระดับความสามารถของเด็กในการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือและดูที่การคำนวณเฉพาะตัวเลขที่ไม่มีโจทย์  จะทำให้เกิดความสงสัยว่าอาจเป็น  Learning Disabilities (LD) และถ้าได้พูดคุยหรือสังเกตความสามารถนอกห้องเรียนก็จะเห็นแววของความฉลาดซึ่งจะแตกต่างจากเด็กปัญญาอ่อนชัดเจน ที่ทักษะการเรียนอาจเสียหายแบบเดียวกันแต่กลุ่มปัญญาอ่อนจะมีความลำบากในการช่วยตัวเอง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ควรส่งเด็กที่สงสัยพบแพทย์  พร้อมข้อมูลของระดับการอ่านหนังสือ  เขียนหนังสือ  และดูที่การคำนวณเฉพาะตัวเลขที่ไม่มีโจทย์  ตรวจเชาวน์ปัญญา  ถ้า  I.Q.  ปกติร่วมกับซักประวัติไม่พบ  ถ้าไม่พบภาวะอวัยวะพิการ  การขาดโอกาสในการเรียน  ปัญญาอ่อน  หรือถูกละทิ้ง  ไม่อยากเรียน  หรือเป็นโรคทางจิตเวชอื่น  เช่น  ออทิสติก  เป็นต้น แพทย์จะออกใบรับรองความพิการตามกฎหมายให้  เพื่อรับรองสิทธิในการได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์  และการศึกษาให้

ทำไมจึงไม่แยกเด็ก  LD ออกจากเด็กปกติ เพราะจะทำให้ครูสอนง่ายขึ้น การแยกเด็ก  LD  ออกจากเด็กปกติจะทำในกรณีเพื่อการศึกษา  แนววิธีการสอนและการจัดสอบเพื่อวัดความรู้  การสอนเด็กปกติรวมกับเด็ก  LD  จะทำได้ง่ายถ้าปรับระบบการสอนมาเน้นการทดลอง  การดู  และการฟังเพิ่มขึ้น  และการ  IEP  สำหรับเด็กจะช่วยทำให้คุณครูในห้องรู้ว่าจะสอนให้ในระดับใด  คุณครูจะได้ไม่ต้องกังวลกับรายละเอียดข้อมูลที่ต้องสอนทั้งหมดเท่าเด็กปกติ  ยกตัวอย่างเช่น  เด็ก  LD  อาจจะอ่านกาพย์  โคลง  กลอน  ฉันท์  ไม่ได้แต่ถ้ามีคนอ่านให้ฟังก็จะจำได้เท่าคนอื่น  เป็นต้น  การมีห้องเสริมวิชาการ  หรือ  Sound  Lab  หรือ  Audiovisual  Room  จะช่วยทำให้เด็กกลุ่มนี้พัฒนาความรู้ต่อไปได้ เด็กที่เขียนหนังสือเองแล้วอ่านไม่รู้เรื่องหรือเขียนผิดพลาด แต่พอลอกงานคนอื่นกลับทำได้ดี  อย่างนี้จะเรียกว่าเป็น LD หรือไม่ จะวินิจฉัยว่าเป็น  LD  ด้านการเขียนหรือไม่จะต้องดูที่ความสามารถในการเขียนหนังสือเองว่าสามารถเขียนเองได้ดีในระดับการศึกษาชั้นไหน  ถ้าความสามารถในการเขียนหนังสือต่ำกว่าชั้นที่เด็กเรียน  2  ชั้นเรียน  โดยที่มีความระดับเชาวน์ปัญญาปกติ  และทำให้เด็กติดตามการเรียนตามปกติไม่ได้  จึงจะเรียกว่ามีปัญหาในการเรียนรู้  โดยที่ความสามารถนั้นมิได้เกิดจากภาวะอวัยวะพิการ  ขาดโอกาสในการเรียน  ปัญญาอ่อนหรือถูกละทิ้ง  ไม่อยากเรียน  หรือเป็นโรคทางจิตเวชอื่น  เช่น  ออทิสติก  เป็นต้น  แต่ความสามารถในการเขียนหนังสือโดยการลอกตามแบบไม่เสียหาย  ซึ่งใช้เพียงตาและมือทำงานประสานกันเท่านั้น  เด็กจึงลอกงานเพื่อได้เร็วเท่ากับเด็กอื่น  แต่ความสามารถในการเขียนหนังสือเองต้องใช้สมองส่วนที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวหนังสือซึ่งมีความเสียหาย  บกพร่องทำให้การสะกด  การเรียงตัวอักษร  การสื่อความหมายผิดพลาด

การให้ความช่วยเหลือเด็ก  LD จะมีแต่เฉพาะด้านการศึกษาเท่านั้นหรือ การให้ความช่วยเหลือเด็ก  LD  ทำได้หลายระดับ  ขอให้ทำความเข้าใจว่าสภาพภายนอกของเด็กจะเหมือนเด็กปกติทุกอย่างพูดคุยได้ดีจนทำให้ไม่มีใครจะคิดว่าเด็กมีความพิการซ่อนเร้น  ดังนั้นเมื่อผลการเรียนมีปัญหา  พ่อแม่และครูจึงไปเพ่งเล็งว่า  เป็นผลจากความขี้เกียจ  ไม่รับผิดชอบของเด็ก  ทั้งนี้เนื่องจากการวัดผลทางการศึกษามิได้วัดคุณภาพการอ่านหนังสือ  การเขียนและการคำนวณ  กลุ่มนี้จึงโดนดุว่าจากพ่อแม่และครูมากมายและตัวของเด็กเองก็บอกไม่ได้ว่าพวกเขามีความพิการซ่อนเร้นอยู่  ดังนั้นการค้นพบและวินิจฉัยโรคจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจข้อจำกัดของเด็ก  ปรับความคาดหวัง  รวมทั้งปรับแนวทางการสอนเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้สูงสุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้  และมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ  ซึ่งแต่เดิมเด็กกลุ่มนี้จะถูกคัดออกจากโรงเรียนไปใช้ชีวิตที่ลำบากตั้งแต่เด็ก  เนื่องด้วยปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้  เป็นเหตุทำให้คุณครูสอนต่อไปไม่ได้อย่างน้อยให้เด็กได้รับรู้ถึงจุดที่เป็นปัญหาว่าที่พวกเขามีผลการเรียนไม่ดีเป็นเพราะผู้ที่อยู่รอบข้างไม่เข้าใจ  และเอามาตรฐานเด็กปกติมาวัดคว

Comment #1
สัน (Not Member)
Posted @28 ส.ค. 52 16:09 ip : 122...70

อยากดูตัวอย่างแผนบ้างครับ

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว