อบรมให้ความรู้ "เด็กที่มีความต้องการพิเศษ"
"เด็กที่มีความต้องการพิเศษ" เป็นคำที่มีความหมายกว้าง และมีความแตกต่างในแต่ละคน
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ เด็กที่มีพัฒนาการช้าในด้านใดด้านหนึ่ง
หรือหลายด้าน ของพัฒนาการทางด้าน
- ร่างกาย (เช่น กล้ามเนื้อใหญ่-กล้ามเนื้อเล็ก ฯลฯ)
- ประสาทสัมผัส (เช่น การเห็น และการได้ยิน)
- การสื่อสาร (เช่น การรับรู้ และการแสดงออก)
- สติปัญญา
- สังคม-อารมณ์
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ อาจจะมีเงื่อนไขความพิเศษตั้งแต่เกิด เช่น เด็กสมองพิการสไบนาบิฟิดา หรือภาวะน้ำในสมอง (ไฮโดรเซฟฟาลัส) ดาวน์ซินโดรม
ความผิดปกติหรือความบกพร่อง อาจจะไม่แสดงออก หรือแสดงให้เห็นเด่นชัดในภายหลัง ครอบครัวที่มีเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ต้องการการมีส่วนร่วมในการ แก้ไขปัญหาเป็นอย่างมากจากครอบครัว พวกเขาต้องเผชิญกับความผิดหวัง และต้องประสบกับการปรับเปลี่ยนแบบวันต่อวัน โปรแกรมการเรียนร่วม การเรียนร่วมของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ครูจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนงาน การจัดสิ่งแวดล้อม การปรับวัสดุ-อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคน เพื่อให้เด็กสามารถเข้าถึงได้ง่าย ความต้องการพิเศษในการเรียนรู้ (Special Learning Need)
เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น เด็กจะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมจากการสัมผัสและจากเสียง ดังนั้นการจัดวางวัสดุ-อุปกรณ์จะต้องจัดวางตำแหน่งเดิมเป็นประจำทุกวัน อย่าเพิ่มวัสดุ-อุปกรณ์ต่าง ๆ ในทันที ให้จัดเพิ่มทีละน้อย ผู้ใหญ่ก็ต้องคอยแนะนำแก่เด็กว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม ป้ายต่าง ๆ สำหรับอุปกรณ์ อาจทำเป็นป้ายอักษรนูน ทำจากวัสดุ-อุปกรณ์ที่มีพื้นผิวสัมผัสได้ง่าย เช่น กระดาษทราย หรือสักหลาด โครงร่างที่ทำจากเชือกติดบนกระดาษ (Paper Outline) เพื่อที่จะให้เด็กสัมผัสได้ พื้นจะต้องเรียบและสะอาด เพื่อให้เด็ก ๆ เดินได้อย่างสบายโดยไม่มีอันตรายหรือมีผู้คนพลุกพล่าน การจัดมุมดนตรีหรือมุมธรรมชาติ (ทราย น้ำ) ต้องจัดให้เด็กที่มีความ บกพร่องทางการมองเห็นด้วย
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ครูต้องพยายามทำให้เสียงภายในห้องเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ พรม ผ้าม่าน เหล่านี้จะสามารถทำให้เสียงในห้องเงียบลง
กิจกรรมควรเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งมีความสำคัญต่อเด็กมาก เพราะจะทำให้เด็กได้มีโอกาสอ่านริมฝีปาก หรือการใช้ภาษามือ
เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
ครูจะต้องมีการสังเกตเด็กก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยน หรือจัดทำอุปกรณ์เครื่องช่วยแก่เด็ก
การจัดทำอุปกรณ์-เครื่องช่วยต่าง ๆ ต้องให้เด็กสามารถใช้ได้อย่างเหมาะสม สามารถปรับระดับได้ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ที่เด็กสามารถนั่งหรือยืน โดยสามารถเขียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ถนัด
เด็กบางคนอาจต้องใช้รถเข็น ครูต้องจัดให้เด็กสามารถใช้รถเข็นได้อย่างมั่นใจและเป็นอิสระ เด็กสามารถเข้าไปเล่นหรือทำกิจกรรมได้อย่างอิสระ
เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
ครูต้องสังเกตความสามารถของเด็กแต่ละคน และต้องช่วยจัดหาอุปกรณ์ที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของแต่ละคน
ครูต้องให้เวลากับเด็กในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่เข้าใจช้า และต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ครูจะต้องให้เวลามากกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพื่อที่จะให้เด็กได้เรียนรู้สภาพแวดล้อม
จัดหาของเล่นง่าย ๆ ซึ่งเหมาะกับความสามารถของเด็ก จะช่วยให้เด็กรู้สึกประสบความสำเร็จ และจะช่วยให้เด็กมีสมาธิมากยิ่งขึ้น
การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมต้องเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งครูจะต้องแนะนำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่
ขั้นตอนการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษาพิเศษ
ค้นหาหรือคัดแยก
วินิจฉัย
กำหนดจุดเริ่มต้น และทำแผนการศึกษารายบุคคล
การวางแผนการสอน
การตรวจสอบความก้าวหน้า
1. การค้นหาหรือคัดแยก (Screening and Identification)
จุดมุ่งหมายเพื่อช่วยในการค้นหาเด็กที่ควรได้รับการช่วยเหลือพิเศษเสียแต่เนิ่น ๆ
2. การวินิจฉัย (Diagnosis)
เป็นการตรวจสอบข้อสงสัยว่าเป็นจริงหรือไม่ มีปัญหาอะไร ทำไม เพื่อกำหนดว่าใครควรได้รับการช่วยเหลืออย่างไร จากใคร และต้องการผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านใด หรือไม่
การวินิจฉัย จะทำให้ทราบว่า ปัญหานั้นรุนแรงหรือไม่ สาเหตุคืออะไร และต้องการความช่วยเหลือพิเศษอะไร อย่างไร นั่นก็คือ บริการที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร
3. การกำหนดจุดเริ่มต้น และทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Placement and IEP Development)
เป็นการทดสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจว่าจะเอาเด็กเข้าโปรแกรมไหน และอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุดสำหรับเด็ก ข้อมูลนี้จะทำให้ทราบว่าเด็ก มีความสามารถอยู่ที่ระดับไหน และจะต้องพัฒนาไปในทิศทางใด
4. การวางแผนการสอน (Instructional Program Planning)
เมื่อทราบจุดยืนของเด็ก และทิศทางแล้วก็จัดโปรแกรมเพื่อช่วยเหลือเด็ก เช่น วางแผนการสอน และการให้บริการต่าง ๆ จากจุดที่เด็กทำได้แล้วไปสู่ทิศทางที่ก้าวหน้าขึ้นตามวัตถุประสงค์
5. การตรวจสอบความก้าวหน้า (Progress Checking)
หลังจากการจัดโปรแกรม และดำเนินงานตามที่วางแผนแล้ว ก็ต้องมีการวัดผลเพื่อให้เด็กรู้จักว่าตนเองมีความก้าวหน้าแค่ไหน อย่างไร และทำให้ครูทราบว่าโปรแกรมที่วางแผนนั้นเหมาะสมหรือไม่ หากเด็กไม่มีความก้าวหน้า ก็ต้องมีการทบทวนใหม่ เพื่อหาจุด บกพร่อง
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมการศึกษารายบุคคล (IEP)
ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย PL 94-142 ระบุไว้ว่า หลังจากที่เด็กผ่านการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กพิการแล้วภายใน 30 วัน เด็กจะต้องได้รับบริการการศึกษาพิเศษ ซึ่งจะต้องจัดทำโปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคลให้กับเด็กคนนั้น ดังนั้นทีมงานตั้งแต่ผู้บริหารโรงเรียนที่รับเด็ก ผู้ปกครอง ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่ หรือผู้ดูแลเด็กตามกฎหมาย และครูก็จะมาพบกันเพื่อวางแผนดังกล่าว ในประเทศไทยการดำเนินงานดังกล่าวขึ้นอยู่กับโรงเรียนและยังไม่มีกฎหมายบังคับ จะทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือไม่ขึ้นกับความสามารถของครูเป็นสำคัญ
ความสามารถของครูและการทำ IEP<img src="upload/pics/dsc_8170.jpg" align=left width=200 height=301 border=0 class="photo" alt="" />
ศรียา นิยมธรรม กล่าวว่า ทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง โดยปกติเท่าที่ปฎิบัติกันมาครูประจำชั้นก็ไม่ถูกคาดหวังให้ประเมินกิจกรรมเองยกเว้น ในเรื่อง ตรวจสอบความสามารถเด็กจากโปรแกรมการสอน แต่ในกฎหมายใหม่ระบุให้ครูประจำชั้นเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทในการวัดและประเมินผลเด็ก ซึ่งมักทำในรูปของสหวิทยากร ดังนั้นครูจึงมีส่วนในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิทธิของเด็ก การกำหนดโปรแกรมการช่วยเหลือการสอน ตลอดจนการประเมินผลเป็นระยะ ๆ
ส่วนประกอบของโปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล
โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้น ตามกฎหมาย PL 94-142 ตอนที่ 121 a. 346 ได้กล่าวไว้ว่า จะต้องประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้คือ
1. ข้อความที่บอกถึงระดับความสามารถทางการศึกษาของเด็กในขณะนั้น
2. ข้อความที่บอกถึงจุดมุ่งหมายประจำปี รวมถึงจุดมุ่งหมายในการสอนระยะสั้น
3. ข้อความที่บอกถึงบริการทางการศึกษาพิเศษ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับการช่วยให้เด็กสามารถเล่าเรียนในโปรแกรมการศึกษาปกติได้
4. วัน เวลา และสถานที่ของการเริ่มให้บริการและระยะเวลาที่คาดว่าเด็กจะได้รับบริการ
5. เกณฑ์และกระบวนการที่เหมาะสมในการตรวจสอบประเมินผลที่เหมาะสม ตลอดจนในตารางเวลาที่จะดำเนินการไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว
ครูประจำชั้นจะต้องเป็นหลักในการร่วมทีมทำงานเพื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนกระบวนการวัดและประเมินผล ผู้ที่จะมาร่วมทำ IEP นั้นจะต้องเป็นผู้ผ่านการฝึกฝนมากแล้ว เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการ การแปลความของผลการประเมินครูการศึกษาพิเศษ จะต้องภูมิหลังในการทำงานร่วมกับนักวิชาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงจำเป็นที่ครูประจำชั้นซึ่งทำหน้าที่นี้จะต้องได้รับการฝึกอบรมให้เข้าใจตรงกันด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของการวัดและประเมินผล
สิ่งที่ครูควรตระหนักและคำนึงเสมอก็คือ การมีบทบาทสำคัญในการรวบรวม ข้อมูลของเด็ก ตลอดจนการตรวจวัดประเมินผลทุกขั้นตอน ไม่มีใครจะรู้จักข้อมูลเท่ากับครู ครูจะต้องรู้ว่าจะใช้กระบวนการใด ในการรวบรวมข้อมูล และมีเรื่องใดที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของครู ครูและผู้บริหารโรงเรียนหลายคนที่ต้องเผชิญปัญหายุ่งยากอันเนื่องมาจากคุณภาพของกระบวนการวัด และประเมินผล<br />
บุศรินทร์ เจริญวัฒนดุลย์
เอกสารอ้างอิง
มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ. สู่
การเรียนร่วม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เบญจพล, พิมพ์
ครั้งที่ 1, 2543.
โรงพยาบาลราชานุกูล. คู่มือการฝึกอบรมทักษะการเป็นพ่อแม่เด็กปัญญาอ่อน. กรุงเทพ-
มหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2539.
ศรียา นิยมธรรม. การวัดและประเมินผลทางการศึกษาพิเศษ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
P.A. ART & PRINTING CO., LTD., 2542.