น้ำมันพืชกับชีวิตประจำวัน
เป็นเพลาหลายเดือนแล้วที่ประชาชนคนไทยเราได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก น้ำมันพืชที่ใช้สำหรับปรุงอาหารประจำครัวมีราคาแพงแถมยังหาซื้อไม่ได้ (ขาดตลาด) ในเรื่องนี้รัฐบาลของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สั่งการให้ รมว.กระทรวงพาณิช ได้เข้ามารับเรื่องราวไปแก้ไขเพื่อดับความเดือดร้อนของประชาชน สาเหตุ หลักของการหายตัวไปจากตลาดของน้ำมันพืชก็คือ บรรดาผูู้ผลิตน้ำมันพืชทุกยี่ห้อขอปรับขึ้นราคาขาย โดยอ้างสาเหตุจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศ มีราคาสูงขึ้น และมีจำนวนไม่เพียงพอเพราะได้นำเอาไปใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง (พวก B3 - B5)เสียเป็นสัดส่วนที่มากพอสมควร แต่กระทรวงพาณิชไม่ยอมอ้างว่าประชาชน เดือดร้อน ให้ผู้ผลิตและผู้ค้าตรึงราคาไว้ ๓ เดือน แล้วค่อยมาพิจารณาราคาใหม่ที่เหมาะสมกันอีกที นี่คือสาเหตุที่น้ำมันพืชอ่านคาถาหายตัวไปจากตลาด
เมื่อวันสองวันนี้ รัฐบาลที่บริหารบ้านนี้เมืองนี้เห็นว่านโบายที่ดำเนินการแก้ไขปัญหามันประสบความล้มเหลว(โดยสิ้นเชิง)ประกอบกับรัฐบาลมีปัญหาเรื่องอื่น รุมเร้าเข้ามาจนยุ่งเหมือนลิงแก้แห เช่น ปัญหาด้านชายแดนด้านจังหวัดสระแก้ว ที่สส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ กับพวก ๗ คน ถูกทหารเขมรจับตัวไป ฯลฯ ได้ข่าวมาว่ารัฐจะแก้ ปัญหาเรื่องนำ้มันพืชโดยการสั่งนำเข้าน้ำมันปาล์มจากมาเลเซีย จำนวนหลายหมื่นตันทั้งที่หลายฝ่ายได้คัดค้าน เพราะเห็นว่า จะเกิดผลกระทบกับราคาปาล์มของชาวสวน ปาล์มในบ้านเรา อันนี้ไม่ว่ากัน "ก็แล้วแต้" รัฐบาลกับพี่น้องชาวสวนปาลม์เถิด ผมไม่ขอวิจารณ์ก็แล้วกัน แต่เรื่องที่ผมจะนำมาเรียนให้พี่น้องคนไทยได้ทราบถึงอันตราย ของน้ำมันพืชที่เราใช้ปรุงอาหาร(ที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบหลัก)กันทุกวันนี้ ทุกยี่ห้อเขาจะโฆษณาว่าไม่จับตัวเป็นไขแม้จะนำไปแช่ในตู้เย็น ลองแล้วมันก็เป็นจริง ตามที่โฆษณา จึงทำให้พวกเราเชื่อกันอย่างสนิทใจว่าจะไม่เกิดอันตรายจากไขมันจะเข้าไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือด ลำไส้ หรือที่อื่น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ จาก รายงานทางการแพทย์บอกว่าน้ำมันพืช(ที่ประกอบด้วยน้ำมันปาล์ม)มีไขมันที่เป็นอันตรายกับร่างกายมากเหลือเกิน โดยเฉพาะยิ่งกับคนที่ประหยัดค่าใช้จ่ายซึ่งมักจะเก็บ น้ำมันที่เหลือจาการใช้แล้วมาใช้ใหม่อีก ซึ่งจะเพิ่มสารอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และโรค คอเลสเตอรอลสูง ซึ่งล้วนเป็นมหันตภัยร้ายกับพวกเรา ที่คาดไมถึง (สงสัยเข็มขัดสั้น)..........
สมัยเมื่อผมเป็นเด็ก ที่บ้านผมจะใช้น้ำมันหมูปรุงอาหาร ไม่ว่าจะทอดจะผัดมันหมูทั้งนั้น แม่ผมจะเคี่ียวมันหมูจากเนื้อหมูขาว ที่เรียกว่า มันเนื้อ แต่จะไม่ยอม เคี่ยวจากมันเปลว (มันตบ)ของหมู แกบอกว่ามันเนื้ออร่อยกว่ามันตบ และเก็บไว้ได้นานกว่า ส่วนของที่เหลือจากการเคี่ยวมันหมูคือ กากหมู ที่หอมหวนชวนรับประทาน เมื่อ นำมาเจียวกับไข่ แกล้มกับข้าวสวยร้อนๆ ราดพริกน้ำปลา ....อย่าบอกใครเชียว อร่อยมาก ก็กินมาอย่างนี้จนกระทั่งมีน้ำมันพืชออกขายพร้อมกับคำโฆษณา และก็เชื่อจน เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชมาแทน น้ำมันหมูจนถึงวันนี้ ส่วนพี่น้องอิสลามเท่าที่ทราบแต่ก่อนเขาใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหาร แต่ข้อเสียคือเก็บได้ไม่นาน มันจะส่งกลิ่นหืน ใหม่ๆ กลิ่นจะหอมน่ารับประทานเหมือนกัน พอน้ำมันพืชออกผ่านฮาลานจ์แล้วพี่น้องอิสลามก็หันมาใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหารเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าน้ำมันพืชแพง แถมขาดตลาด อีก พี่น้องครับเราลองหันกลับไปใช้ของดั้งเดิมที่บรรพบุรุษของเราเคยใช้มาในชีวิตประจำวันอีกทีดีไหมครับ อันตรายจากไขมันจากสัตว์ไม่มากเท่าจากน้ำมันพืช(ปาล์ม)เพราะ ร่างกายสามารถย่อยและนำไปใช้ได้หมด ไม่เกิดสารอนุมูลอิสระเหมือนน้ำมันพืชที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบ แล้วก็ที่สำคัญ คือ อาหารที่ปรุงกับน้ำมันหมูอร่อยกว่าด้วย ครับ.... ส่วนพี่น้องอิสลามก็ลองใช้นำ้มันมะพร้าว (เคี่ยวใหม่) หรือเป็นนำมันรำแท้ หรือน้ำมันมะกอก (แพงหน่อย) ปรุงอาหารก็จะดีกว่าครับ
ปล. อ่านจบแล้ว โปรดส่งกำลังใจไปถึงพี่น้องไทย ๗ คนที่ถูกทหารเขมรจับบนแผ่นดินไทย ไปขังคุกอยู่ในเขมรด้วยครับ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนไทยเหมือนกับเรา
Relate topics
- 9 เทคนิคใส่ “บรา” ให้หน้าอกสวย !
- บูชาครู
- อวยพรปีใหม่
- วันขึ้นปีใหม่
- เทคโนโลยี
- รับตรวจสอบเครนและออกแบบเครื่องจักร(หาดใหญ่)
- ธรรมะดีๆ จากองค์ในหลวง (สำหรับผู้ท้อแท้จากการทำงาน)
- รับสมัครตัวแทนจำหน่ายเห็ด ท่านใดสนใจติดต่อเข้ามาได้เลย
- ชาวสงขลาโดนใจ “คอนเสิร์ตคนไทยหัวใจยิ้ม”
- ดนตรีกระตุ้นพัฒนการสมองเด็กด้วยเสียงโลมาฯลฯ