สงขลาพอเพียง : เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจังหวัดสงขลา - Songkhla Health

หนุนเสริมภาคี ประสานความร่วมมือ

แพทย์ไทยตายอย่างไร

by kai @18 ก.พ. 49 22:43 ( IP : 58...246 ) | Tags : มุมมองหมอ

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

ข้อมูลจากการศึกษาเรื่องการเสียชีวิตของแพทย์ไทย พศ.2535-2544 ที่ นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ได้ศึกษาไว้จากข้อมูลแพทย์ทั้งหมด 28,000 คน พบว่าเสียชีวิตแล้ว 1,035 คน เสียชีวิตในปี 2535-2544 จำนวน 440 คน สามารถศึกษาได้ 262 คน (60%)  ในส่วนนี้มีอายุตายเฉลี่ย 61.2+ 17.8  ปี

สาเหตุที่ตายในแพทย์ผู้มีอายุมากคือ มะเร็ง โรคหัวใจและไตวาย  สาเหตุการตายในแพทย์ผู้มีอายุน้อยคืออุบัติเหตุ  ฆ่าตัวตาย  และถูกฆาตกรรม  โดยเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับถึง 35%  ในกลุ่มนี้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายกว่าครึ่งคือ  51%  แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถึงเป็นแพทย์แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้ายเสียแล้ว  ซึ่งไม่ต่างจากประชาชนไทยทั่วไป

ตารางที่ 1  เปรียบเทียบอันดับสาเหตุการตายของแพทย์และประชาชนไทย ลำดับ แพทย์ไทย ประชาชนไทย 1 มะเร็ง หัวใจ 2 หัวใจ มะเร็ง 3 อุบัติเหตุ ติดเชื้อ 4 ติดเชื้อ อุบัติเหตุ 5 ชรา ชรา

จะเห็นว่าเหตุตายของแพทย์และประชาชนไทยไม่แตกต่างกันมากนักใน 5 อันดับแรก  แต่สังเกตว่าแพทย์เสียชีวิตจากมะเร็งเป็นอันดับหนึ่ง  ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากการสัมผัสสารก่อมะเร็งมากขึ้นและความเครียดที่สูงขึ้น หรืออาจเป็นเพราะว่ามะเร็งเป็นโรคเดียวที่รักษาไม่ได้  ในขณะที่แพทย์เราสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายกว่า เมื่อเป็นโรคหัวใจหรือโรคอื่นๆจึงเสียชีวิตได้น้อยกว่า

อาจารย์สมเกียรติได้เจาะลึกไปที่การฆ่าตัวตาย  พบว่ามีแพทย์ฆ่าตัวตาย 18 คน จาก 262 คน(6.9%) เป็น ชาย 17 คน หญิง 1 คน  ส่วนใหญ่อายุ 25-35 ปี  ส่วนใหญ่เป็น แพทย์เวชปฎิบัติทั่วไป  แต่ที่แปลกคือมีจิตแพทย์ฆ่าตัวตายถึง 3 ราย  ทั้งหมดมีประวัติการรักษาทางจิตเวชเพียง 3 ราย  สาเหตุที่ฆ่าตัวตาย คือปัญหาครอบครัว และปัญหาคนรัก ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน พบว่าสัดส่วนการใช้ยานอนหลับของแพทย์สูงขึ้น  ซึ่งน่าจะแสดงถึงความเครียดที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว  นอกจากนี้ยังพบว่ามีแพทย์ติดเชื้อเอดส์จำนวน 1 ราย

จากการศึกษาต่อถึงภาวะสุขภาพแพทย์ไทย  พบว่าแพทย์มีรายได้นอกเวลาประมาณ ครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด  ความเร่งรีบในการทำงาน  การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ  ทำให้แพทย์มีประวัติหลับในขณะขับรถ 15%  และในกลุ่มนี้  1 ใน 5 เคยหลับในมากกว่า 2 ครั้ง

แพทย์มีการเจ็บป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ ( Allergy ) เป็นส่วนใหญ่  รองมาเป็นโรคความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน  ซึ่งเป็นโรคในยุคดิจิตอล  คือไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย  มีความเครียดสูง  อยู่ในวิถีการบริโภคที่เกินสมดุลและอยู่ในสิ่งแวดล้อมของสังคมเมืองที่มากด้วยมลพิษและสารเคมี

วิชาชีพแพทย์ซี่งถูกคาดหวังให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำที่เป็นต้นแบบด้านสุขภาพสำหรับประชาชนนั้น  คงไม่ง่าย  เพราะสุขภาพส่วนใหญ่ของแพทย์ก็ไม่ได้ดีเด่นแตกต่างจากประชาชนมากนัก  เมื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของแพทย์แล้ว  เผื่อว่าจะได้เข้าใจแพทย์มากขึ้นว่า  แพทย์เองก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาเท่านั้น

Comment #1
ยายปริก (Not Member)
Posted @26 ธ.ค. 49 11:31 ip : 124...61

การดูแลตัวเอง เข้าใจร่างกายตัวเองให้มากที่สุด คงจะดีกว่าการหวังพึ่งแพทย์แต่เพียงฝ่ายเดียวแน่ ๆ ค่ะ แพทย์เองก็รักษาเฉพาะทาง แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้มองอย่างเชื่อมโยงว่าโรคต่าง ๆ ที่คน ๆ หนึ่งเป็นอยู่นั้นมันเป็นปัจจัยเสริมซึ่งกันและกันอย่างไร เกี่ยวโยงกันอย่างไร ดิฉันเคยไปพบแพทย์ที่รพ.ของรัฐ ด้วยอาการปวดท้องและปวดบั้นเอว ด้วยความรู้สึกของเรารู้ว่าไม่ใช่โรคกระเพาะ และลองกินยาแก้โรคกระเพาะก็ไม่หาย แต่แพทย์ก็ตรวจแป๊บเดียวแล้วสั่งยาโรคกระเพาะให้ ดิฉันพยายามบอกว่ามันไม่ใช่ คุณหมอก็ดุเอาแรงๆ ว่า "รู้ดีกว่าหมอแล้วมาหาหมอทำไม!?" หลังจากนั้นดิฉันมีโอกาสได้ตรวจที่รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ พบว่าเป็นนิ่วในใต...

ผ่านมาประมาณ 10 ปีแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันไปตรวจทีรพ.เดิม ด้วยอาการของตับอักเสบ(ไวรัสบี)และท้องอืด ปวดท้อง พบแพทย์หนุ่มที่เพิ่งจบใหม่ ๆ ดิฉันต้องเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่มันเชื่อมโยงกัน ระหว่างโรคตับและระบบย่อยอาหาร โชคดีที่เค้าก็รับฟัง และจดทุกอย่างในบันทึกประวัติ ดิฉันยังบอกหมออีกว่า ช่วยเช็คตับให้หน่อยได้ไหม อยากรู้ว่าการทำงานของตับแย่มากหรือเปล่า หมอก็โอเคสั่งตรวจตับ แล้วบอกให้ไปเจาะเลือด รอฟังผล...ยาอย่างอื่นก็ไม่ให้ ดิฉันกลับมาบ้านกินยา แอนตาซิลจึงช่วยให้อาหารปวดท้องดีขึ้น...

Comment #2
คนสงขลา (Not Member)
Posted @7 มิ.ย. 52 17:24 ip : 113...34

อยากคุยกับคุณยายปริกมากขึ้น ติดต่อกลับที่ cic_ska@thaimail.com ได้หรือเปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะ

Comment #3หมอไทยตายอย่างไร
Posted @4 ม.ค. 54 12:56 ip : 113...38

"อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่ลาภ เอ๊ย! ขอโทษ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ  เห็นว่าเป็นความจริงแท้  แต่ว่านั่นแหละคนเรา ไม่ว่าจะเป็นใครมันก็หนีไม่พ้น จาก ความทุกข์ ความโศกเศร้า  การเกิดโรค  การประสบกับภัยพิบัติ และความตายได้เลย  มันตายทั้งนั้นเป็นสัจจธรรม  แต่จะตายด้วยอะไร มันก็ไม่มีใครรู้ ตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีใคร บอกได้  ให้รักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิตให้ดีก็แล้วกัน อย่าไปกังวลถึงความตาย เพราะมันตายแน่ มะเร็งและโรคร้ายทั้งหลายที่มันกัดกินอยู่ในตัวเรา ก็ต้องรู้เท่าทันมันและอยู่กับ มันด้วยความสุข  ดูซิว่าพอเราตายแล้วมันจะอยู่กับเราได้หรือไม่ ........อิอิอิ...

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว