สงขลาพอเพียง : เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจังหวัดสงขลา - Songkhla Health

หนุนเสริมภาคี ประสานความร่วมมือ

รายการแนะนำให้เด็กดูหนังสั้น "เพศศึกษา"

by kai @8 พ.ย. 50 17:55 ( IP : 117...244 ) | Tags : แนะนำเครือข่าย
photo  , 2048x1536 pixel , 1,338,406 bytes.

ชั่วโมงแรกรายวิชาก้าวย่างอย่างเข้าใจ  ประจำภาคการศึกษาที่ 2 /2550  ของนักเรียน ม.3 โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์  อาจารย์รัชนีกูล ชนะวรรณโณ ผู้สอนแจ้งนักเรียนว่าครูกำลังสร้างหนังเพศศึกษา

"ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว รอเพียงลงมือถ่ายทำ " อาจารย์รัชนีกูลหรือ "ครูอ๊อด" ย้ำเด็ก ขณะรอเก็บผลงานประจำคาบในวันนั้น ตั้งโจทย์ให้เขียนถึงสิ่งที่ได้จากการเรียนวิชาก้าวย่างอย่างมั่นใจมาตั้งแต่เทอมก่อน  เมื่อหยิบขึ้นมาอ่านดูแผ่นหนึ่งพบข้อความสำคัญเช่น

  • รับรู้ว่าเอดส์ป้องกันอย่างไร มีอาการอย่างไร

  • การใช้ถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ป้องกันเอดส์ได้

  • รู้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับใครต้องรู้ว่ามีโรครู้เปล่า

  • รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์และตั้งครรภ์ พ่อแม่ควรจะรู้ ไม่ควรเก็บไว้ เครียดอยู่คนเดียว

  • ทำไมวัยรุ่นอยากรู้อยากลอง?
    "แค่คำว่าอยากลองนี้ ก็สอนได้เป็นชั่วโมง วัยรุ่นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเขาอยากรู้อยากลอง  เขาบอกว่าปิด ห้ามเปิด ก็จะเปิด แต่กรุณาอ่าน อาจไม่อ่าน รู้ว่าเรื่องเซ็กส์เรื่องเพศ ผู้ใหญ่ก็ชอบ ทำไมเด็กจะชอบไม่ได้  เขาเป็นเด็กโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นจะชอบบ้างได้ไหม"

ครูอ๊อดเล่าถึงความเป็นมาเกี่ยวกับหลักสูตรเพศศึกษา ที่โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์เป็นโรงเรียนนำร่อง  อยู่ในประเด็นเด็กและเยาวชน  แผนสุขภาพ จังหวัดสงขลา

เมื่อ 20 ปีมาแล้วกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ทำหลักสูตร ทักษะชีวิตต่อมาองค์กร PATH  ที่เป็นองค์กรสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา  ผู้พัฒนาหลักสูตรเพศศึกษาในสถานศึกษาเข้ามาเผยแพร่ ในประเทศไทย

ปี 2547 ครูอ๊อด เข้าอบรม Master Trainer ของ PATH เป็นวิทยากรรุ่นแรกของภาคใต้ ดร.เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เป็นผู้สร้างเครือข่ายอบรม โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ นำร่องหลักสูตรเพศศึกษาในสถานศึกษา เริ่มสอดแทรกในกลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา ของ ม.ปลาย  ต่อมาปี 2548 ครูอ๊อดเปิดเป็นรายวิชาเพิ่มเติม เป็นวิชาเลือก ในชั้นมัธยมปลาย รายวิชา เพศศึกษาเพื่อชีวิตวัยรุ่น ปี 2549 เปิดสำหรับเด็กมัธยมต้น รายวิชาก้าวย่างอย่างเข้าใจ

"อย่างหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบว่า ระหว่าง 2 ระดับชั้นจะเป็นอย่างไร  หลักสูตรดำเนินมาจนปัจุบัน ปกติวิชาหลักอย่างสุขศึกษาก็มีสอดแทรกอยู่ แต่คิดว่าไม่เพียงพอสำหรับการขยายการเรียนรู้ เพศศึกษาสู่วัยรุ่นสู่วงกว้าง ไม่พอจะสื่อสารให้รู้ในวงกว้าง  คิดว่าจะทำอย่างไรให้วัยรุ่นเรียนรู้มากขึ้น"

ครูอ๊อดพยายามเคลื่อนประเด็นนี้หลายทาง ไม่ว่าการร่วมรายการวิทยุ  ใช้การสื่อสารสาธารณะต่างๆ จนมาคิดว่า มาคิดว่าคนยุคใหม่ชอบดูละครเป็นหลัก  จึงคิดว่าจะทำละครให้เด็กดู  เป็นที่มาของการทำละครให้วัยรุ่นเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา

ราวปี 2548-49  ครูอ๊อด ได้เด็กกลุ่มหนึ่งของโรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ในนาม "ลูกขบการละคร"  จัดละครเวที เรื่อง "ภาพลักษณ์ของวัยรุ่น"  เป็นการแสดงเพื่อถ่ายทำวีซีดีเผยแพร่โดยเฉพาะ  เนื่องจากว่าถ้าให้คณะละครตระเวนแสดงไปให้ดูทุกชั้นทุกห้องคงเป็นไปได้ยาก

ภาพลักษณ์ของวัยรุ่นวัยเรียน เป็นละครน้ำเน่า เนื้อเรื่อง นางเอกเป็นเอดส์ ท้องหาพ่อไม่ได้  พ่อไม่รับผิดชอบ  เป็นเรื่องที่วัยรุ่นไปมีเพศสัมพันธ์ กับวันรุ่น  วัยเรียน  ผู้ชายรับผิดชอบไม่ได้ จากที่หนีออกจากบ้าน สุดท้ายผู้หญิงต้องกลับไปหาแม่  ให้แม่ช่วยเหลือ

"ที่ใช้ละครแบบน้ำเน่าสื่อ เพราะเด็กดูแล้วเข้าใจง่าย สะท้อนความรู้สึก เราได้ยินข่าวประเภทท้องหาพ่อไมได้ เอาเด็กไปทิ้งขยะ สะท้อนกลับมาว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นจะกระทบกับชีวิตตัวเอง ครอบครัว สังคม โรงเรียน  อะไรบ้าง"

ครูอ๊อดบอกว่า วัยรุ่นไทยเรายังขาดการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ (ครูอ๊อด มักพูดเรื่องนี้ โดยใช้ตัวย่อว่า ค.ว.ย.)

"คะแนนการคิดวิเคราะห์แยกแยะของเด็กวัยรุ่นไทยเรา ต่ำมาก เมื่อทดสอบแล้ว เขาคิดได้ไม่ตลอดเรื่อง คิดเป็นท่อนๆ คิดว่าไปเที่ยว คิดว่าไปกับเพื่อน แต่เขาไม่คิดว่าผลกระทบที่ตามมาจะเป็นอย่างไรบ้าง  พฤติกรรมของเด็กที่ออกมาก็คือ คิดตามที่ตนเองอยากจะกระทำในเวลานั้น"

เด็กวัยรุ่นไทยขาดมากๆ ก็คือขาดทักษะการปฏิเสธ  ก็คือถ้าใครชวนไปหมด
"ถ้าเพื่อนชวนว่าไปหาดใหญ่ไหม ไป ดูหนังไหม? -ไป ไปเที่ยวกับฉันไหม?-ไป ไปหอพักไหม? -ไป"

การขาดทักษะการปฏิเสธของวัยรุ่นทุกวันนี้  เพราะเขาไม่เคยรู้ว่าการปฏิเสธนั้น เป็นอย่างไร ปฏิเสธไม่เป็นโดยเฉพาะถ้าคนชวนเป็นสปอนเซอร์ด้วย

"ดูหนัง ไม่มีตังค์ พี่เลี้ยง น้องไปกับพี่ไหม พี่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้เครื่องหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีแนวโน้มจะไป" ครูอ๊อดว่า ทักษะการปฏิเสธอย่างไรไม่ให้เสียน้ำใจ ก็เป็นรายละเอียดไปอีกเรื่องหนึ่ง ครั้นปฏิเสธไม่คบกันเลยก็ไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะเพื่อนต้องมีทักษะการปฏิเสธที่นิ่มนวล  ปฏิเสธแล้วตัดไมตรี ยังคบกันได้เหมือนเดิม
"อย่างผู้หญิงบอกว่า เค๊าไปกับเธอไม่ได้นะ เพราะว่าพ่อกับแม่ยังไม่ให้ไปเที่ยวกับผู้ชาย สองต่อสอง แสดงว่าสามารถปฏิเสธและอ้างอิงพ่อแม่ แต่อีกอันหนึ่งก่ำกึ่ง เช่นการปฏิเสธแล้วให้ความหวังผู้ชายด้วย อย่างวันนี้ไม่ว่าง ผู้ชายก็คิดว่าถ้างั้นพรุ่งนี้น้องว่างใช่ไหมครับ  งั้นพี่จะมารับพรุ่งนี้ อย่างนี้ปัญหาตามมาอีก"

เรื่องเพศศึกษาก็คือเรื่องทักษะชีวิตเดิมตามแนวทางหลักสูตรเดิมสมัยหนึ่ง  เป็นเกราะป้องกันตัวให้กับเด็ก

"วัฒนธรรมประเพณีไทยจะมีกรอบว่า เรื่องเพศพูดกันไม่ได้ในที่สาธารณะ หรือในที่รโหฐาน  ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้สอนเรื่องเพศให้กับลูกหลาน ที่ผ่านมา พ่อแม่ก็ไม่เคยบอกว่าถ้ามีประจำเดือนแล้วจะต้องใช้ผ้าอนามัยอย่างไร ใส่กางเกงในแบบไหน เก็บผ้าอนามัยอย่างไร การทิ้งผ้าอนามัยที่ไหนอย่างไรให้ถูกต้อง  ผู้ใหญ่สมัยก่อนไม่ได้บอกว่าก่อนนอนต้องล้างเจี๊ยว ล้างจิ๋มให้สะอาดก่อนนอน ไม่ได้บอกว่าเด็กผู้ชายฝันเปียกมันมีที่มาอย่างไร ผู้ใหญ่ไม่ได้บอกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้ชายมันมีผลดีผลเสียหรือเป็นอย่างไร"

กรอบเดิมที่ถูกตีไว้ ทำให้ผู้ใหญ่ไม่สามารถชี้แจงอธิบายรายละเอียดเรื่องเพศ ให้เด็กได้ ถือว่าเรื่องเพศยังเป็นความลับสำหรับผู้ใหญ่ที่จะเปิดเผย แต่ สถานการณ์ทางเพศที่เกิดกับกับเด็ก ณ เวลานี้ ครูอ๊อดบอกว่า ถูกพัดโหมทั้ง สื่ออินเอตร์เนทลามก สื่อซีดี  คลิบวิดีโอโป๊ผ่านโทรศัพท์มือถือมากมาย เมื่อเด็กรับสื่อแล้วเป็นตัวตัวกระตุ้นให้เด็กที่ขาดเกราะที่ป้องกันตัวเองไหลตาม ลงสู่ที่ต่ำ
"ถามว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งยืนอยู่กลางน้ำเชี่ยว ถามว่าสักวันน้ำจะเอาขึ้นข้างหรือเอาลง  ก็ต้องลง โอกาสที่น้ำเชี่ยวอย่างนี้มีโอกาสพัดพาเด็ก ไปสู่ที่ต่ำ ฉันใดฉันนั้น ไม่มีที่พยามเด็กเดินทวนกระแสน้ำ  เมื่อไรก็ตามเด็กที่ยืนอยู่ตรงนี้สักวันแกก็ขาอ่อนไปตามกระแสน้ำลงสู่ที่ต่ำอยู่ดี สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายแหล่ เขาสามารถรับมาได้เต็มๆ"

ครูอ๊อดเล่าสถานการณ์วัยรุ่นกับปัญหาเพศที่เจอมากับตัวเองว่าหลายกรณี อย่างพบเด็กตบกันเรื่องผู้ชาย  การตั้งครรภ์ขณะเรียน...

กรณีน้องน้ำฝนเป็นลูกสาวสวยคนหนึ่งแถวชานเมือง  แม่เธอเป็นแม่หม้าย หากินโดยการขายบริการทางเพศ แต่ไม่ได้ไปขายตามหาดใหญ่ แต่ขายตามบ้าน ตามตลาดใกล้บ้าน ตกลงกับลูกค้าแล้วพามาที่บ้าน  น้องน้ำฝนเรียนมัธยม พอจบ ม.3 ก็ไม่เรียนต่อ เธอเห็นแม่ก็พาผู้ชายขึ้นไปนอนข้างบน แล้วแม่ได้เงินครั้งละพันบาท  เห็นภาพอย่างนี้ทุกวัน เห็นเป็นเรื่องปกติ ปัจจุบันน้องน้ำฝนหากินเหมือนแม่
เด็กอีกคนหนึ่งนักเรียนผู้ชาย ม.1  ตัวเล็ก ๆ วาดรูปลงใส่กระดาษ เอ4 เป็นรูปเด็กผู้หญิง แล้ววาดอวัยวะเพศชายอยู่ใต้ กระโปรงผู้หญิง เสร็จแล้วเอามาหัวเราะกัน หลังจากเข้าไปคุยกับเด็กเพื่อหาสาเหตุพบว่า  คืนที่ผ่านมา อาผู้ชาย เอาวิดีโอโป๊มาดูที่บ้าน แล้วเขาก็ขอแอบดูด้วย นั่นที่คือที่มาของภาพวาดดังกล่าว

แค่ที่มาของภาพวาด ยังมีเบื้องหลังอันน่าห่วง  เพราะฉะนั้นการที่จะให้เด็กได้รู้เรื่องเพศ ในมุมบวก เพราะคำว่าเพศศึกษาไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ อย่างเดียว เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น  ครูอ๊อดอธิบายว่าเพศศึกษา เป็นทักษะชีวิตเป็น "วิถีเพศ" ตั้งแต่เกิดจนตาย  ชีวิต เริ่มตั้งแต่ความสงสัยว่าลูกในท้องเป็นหญิงหรือชายนั่นก็เป็นเรื่องของเพศแล้ว เกิดมาแล้ว ถ้าเป็นหญิงต้องเลี้ยงแบบนี้ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายต้องเลี้ยงอีกแบบ นุ่งกางเกง กระโปรง ผมยาว ผมสั้น เด็กผู้ชายของไทยต้องทำอะไร เด็กผู้ชายฝรั่งทำอะไร  เด็กผู้หญิงไทยต้องปฏิบัติอย่างไร  พอเป็นผู้ชายสูงอายุ อ้าวทำไมขาดสมรรถภาพ ทางเพศ ก็เรื่องทางเพศผู้หญิงทำไมหมดประจำเดือน บางคนอายุ 50 ปีหมดประจำเดือน บางคนไปหมด 55 ปี ทำไมไม่เหมือนกัน พอขับรถชนกันตาย มีคำถามคนตายเป็นหญิงหรือชายอีก..
"อะไรเหล่านี้ก็เป็นวิถีเพศทั้งนั้นคือสิ่งที่เราสอน เพียงแต่การลงลึกต่างกัน อย่าง ม.ปลายเน้นทักษะการป้องกันมากกว่า ม.ต้น แต่ ม.ต้นจะพูดถึงทักษะชีวิตที่เป็น อนามัยส่วนบุคคลมากหน่อย  อย่างมีประจำเดือนทำอย่างไร เด็กผู้ชาย ฝันเปียกอย่างไรให้เรียนรู้พัฒนาการวัยรุ่น มากหน่อย"

แม้เพศศึกษาจะเป็นเรื่องที่เด็กควรรู้แต่ในสังคมไทยผู้ใหญ่บางคน ยังไม่กล้าบอกเด็กว่าคนเราเกิดทางไหน ยังบอกว่าเกิดทางกระบอกไม้ไผ่ หรือ เก็บจากถังขยะอยู่เลย ทำให้เด็กขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้อง "เพราะฉะนั้นก็บอกตรงๆไปเลย  เอาวีซีดีการเกิดมาให้ดู  เกิดธรรมชาติ หรือผ่าหน้าท้อง เด็กจะเห็นจะๆ" ครูอ๊อดจึงมองว่า การผลิตสื่อความรู้สู่สาธารณชนจึงเป็นเรื่องจำเป็น

หลังจากวีซีดีละครเวที ชุดแรกได้แจกจ่ายไปทั่วจนหมดแล้ว จึงได้มีความคิดจะทำสื่อวีซีดี ขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ พัฒนาการมาเป็นหนังสั้น  โดยใช้เทคนิคการถ่ายทำในสถานที่จริงแบบละครโทรทัศน์ ฉากคิวรถ ศูนย์การค้า หอพัก ตลาด ถ่ายทำสถานที่จริงๆ ผิดกับละครเวที ที่เคยเผยแพร่  ความยาว 15-20 นาที  สามารถนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน  เพราะคุณครูจะสอนแต่ละคาบ 50 นาที  เปิดวีซีดี  20 นาที เวลาที่เหลือให้เด็กคิดวิเคาะห์ หรือครูอาจสอน 2 คาบติดกันก็ให้เด็กคิดวิเคราะห์ แยกแยะ นำเสนอ
เพื่อเตรียมการเรื่องนี้ ตุลาคมที่ผ่านมา จึงมีการจัดค่ายการละครอบรม 2 วัน 1 คืนที่ศูนย์เด็กเล็ก 2 บ้านพรุ  มีนักเรียนที่สนใจเข้าอบรมเกือบ 20 คน  โดยกลุ่มละครมานีมานะ เป็นวิทยากร  ค่ายนี้เด็กจะได้ศึกษาเทคนิค เรื่องอารมณ์ แอคติ้ง เรื่องการโพสหน้ากล้อง

"ที่จริงการเข้าค่ายเป็นการอบรม สำหรับการแสดงละครทั่วไป แต่ ครูอ๊อดเน้นเอา เพศศึกษามาใส่เอาไว้ด้วย ให้เด็กมาเขียนบทละครสั้นเพศศึกษา เริ่มจากเขียนเรื่องสั้น แยกเป็นกลุ่ม  ก่อนแล้วเอาเรื่องสั้นเหล่านั้นมานำเสนอ รวมกันเป็นเรื่องเดียวกัน  แล้วถ่ายทอดเป็นภาพ แต่ละภาพก็คือเรื่องเพศศึกษา แล้วนำละครเรื่องเดียวกัน นี้มาทำเป็นภาพนิ่งทีละภาพ เป็นสตอรี่บอร์ด"

ขณะครูอ๊อดเล่าให้ฟัง เพิ่งมีการประชุมความพร้อมเตรียมกองถ่ายเสร็จไปหมาดๆ  ถ้าไม่มีอุปสรรคลมฟ้าอากาศ หนังสั้นวีซีดีชุดนี้จะออกมาให้ยลโฉมในเร็ววันแน่นอน

แม้ยังไม่สรุปชื่อเรื่องแบบโดนใจ แต่เนื้อเรื่องของหนังสั้น เกี่ยวกับครู นักเรียน  สถาบัน วัยรุ่นในวัยเรียน ไม่ต่างจากละครเวทีเรื่องภาพลักษณ์ของวัยรุ่นมากนัก

แม้ไม่คาดหวังว่าเด็กจะเป็นนักแสดงตุ๊กตาทอง แต่เบื้องต้นทีมเด็กที่ร่วมผลิตหนังสั้นชุดนี้ ได้แน่คือองค์ความรู้เรื่องการละคร การถ่ายทำ และเรื่องเพศศึกษา

เด็กทั้งหมดจากที่ไปเข้าค่าย มีหน้าที่ผลิตหนังชุดนี้ ภายใต้การดูแลของครูอ๊อด  เด็กได้มีหน้าที่ในการถ่ายทำทั้งหมด ทั้งเป็นตัวแสดง แต่งหน้า กำกับ  มีตากล้อง คือประสิทธิ์ จันลำพู เป็นผู้ใหญ่ใจดี มีความรู้ ชำนาญ ผ่านการทำงานนี้มา คอยสนับสนุน

"อย่างน้อยเด็กกลุ่มนี้เองจะได้ องค์ความรู้ที่เป็นเกราะป้องกันตนเอง เรื่องการใช้ถุงยางอนามัย ในบทละครเขาจะเขียนเรื่องทักษะชีวิตที่เพื่อนผู้ชายชวนไปหอพัก ไปทำรายงาน ทำการบ้าน แล้วอารมณ์ของเด็กที่อยู่กันสองต่อสองในหอพัก โอกาสเสี่ยงสูงต่อการมีเพศสัมพันธ์สูงใช่หรือไม่ เขามีทักษะอย่างไร ที่จะปฏิเสธไม่ให้เกิดเพศสัมพันธ์ในเวลานั้น จะทำอย่างไร"

ครูอ๊อดยังเล่าฉากสำคัญๆ ในเรื่องที่เตรียมไว้ เช่นในบ้านที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ เด็กผู้ชายเจ้าของบ้าน ชวนเพื่อนผู้หญิงไปบ้าน  เพราะรู้มาว่าพ่อกับแม่ไปต่างจังหวัด  พอไปถึงบ้านผู้ชายก็ขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง ให้ผู้หญิงดูทีวีไปก่อนอะไรอย่างนี้  พอออกมาเด็กผู้ชายเริ่มจับไม้จับมือถือแขน ประเภทลวนลาม

"ฉากนั้นสำคัญ ทำอย่างไร ทีว่าลูบไปแล้ว สามารถจะเบรกได้  คือผู้หญิงอาจถูกเล้าโลมแต่ดึงตนเองกลับมาได้ วิ่งหนีกลับบ้าน เด็กเขาเขียนเองนะ เมื่อเจออย่างนั้นตัวละครเด็กผู้หญิงวิ่งหนีออกจากบ้านเพื่อนชายแล้วกลับบ้าน ไคลแมกซ์เรื่องคือว่าเขาไปดูครอบครัวที่กำลังทะเลาะกัน ลูก  พ่อแม่ ตบตีกัน ลูกเล็กเด็กแดง ข้างบ้านเขา  ทำให้คิดว่า นั่นหรือชีวิตครอบครัวทำไมถึงเป็นอย่างนี้ อะไรเหล่านี้ จะสะท้อนออกมา"

ด้วยทุนสร้าง10,000 บาท  และอาจต้องหางบประมาณมาเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง ครูอ๊อดวางแผนว่าจะได้สื่อวีซีดีเผยแพร่สู่สาธารณะ  100 แผ่น  คาดหวังทุกอย่างต่อสิ่งที่ทำ ว่าจะมีผลตามมาอย่างไร  จะนำไปใช้ และรายงานผลการใช้ อย่างการนำซีดีไปสอนเด็กแล้ว แล้วมีผลสัมฤทธิอะไรบ้าง สอนแล้วเด็กได้อะไร  ตะกอนอะไรตกค้างอยู่ในหัวเด็กบ้าง เด็กคิดวิเคราะห์ เป็นหรือเปล่า ศึกษานิเทศก์เขตเคยถามว่าหลังจากครูอ๊อดสอนเพศศึกษาแล้ว เด็กมีแฟนน้อยลงไหม เด็กมีเพศสัมพันธ์น้อยลงไหม ?

ครูอ๊อดตอบว่าเป็นคำถามที่ไม่ถูกต้อง  เพศสัมพัน์เป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้ใหญ่ชอบมีเพศสัมพันธ์ เด็กก็ชอบเรื่องนี้ได้ แต่ว่ามีอย่างไรให้ปลอดภัยต่างหาก คำว่าปลอดภัยคือ ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ ป้องกันโรคติดต่อได้ ต่างหาก

"ถามว่าครูอ๊อดสอนเรื่องเพศศึกษาจะป้องกัน 100 % เรื่องไม่ให้เด็กตั้งท้องในโรงเรียน เป็นไปไม่ได้ เด็กจำนวนมาก  แม้แต่ผู้ปกครองลูก 2-3 คนยังดูแลไม่ทันเลย

ถามผู้ปกครองว่า เด็กไปหาดใหญ่ แล้วไปมีเซ็กส์กันที่หาดใหญ่กับเพื่อน ไปเปิดรีสอร์ท ไปที่พักเพื่อน หอพักเพื่อน กลับมาบ้าน พ่อแม่ไม่มีทางรู้ รู้อีกที ท้องแล้ว เพราะฉะนั้น พ่อแม่ป้องกันไม่ได้ ครูไม่สามารถจะป้องกันได้  จะบอกว่าลูกอย่ามีเซ็กส์ไม่ได้แล้ว แต่ต้องบอกว่าถ้ามีเซ็กส์ต้องใส่ถุงยางอนามัย วิธีใส่อย่างไรต้องรู้ ผู้หญิง ผู้ชายก็ต้องให้เป็น ต้องพกถุงยางเวลาไปไหน ถามว่าทำไมต้องสอน เพราะห้ามไม่ได้แล้ว พ่อแม่ ครู ไม่สามารถตามไปดูลูก  เป็นไปไม่ได้ ครูไปทำอะไรได้นอกจากไปสอนว่าป้องกันตัวอย่างอย่างไรต่างหาก ถ้าไม่มีได้มันดี ลูก แต่ถ้ามันมีลูกต้องป้องกัน"

ครูอ๊อดเล่าและสะท้อนว่าแม้ในโรงเรียน สีขาว แต่นอกรั้วมันเทา มันดำ เยอะแยะเลย  เซ็กส์ไม่ได้มีแต่ในโรงเรียน แต่อาจจะใช้โรงเรียนเป็นที่นัดหมายกันได้อย่างในหนังสั้น ชุดนี้ เด็กอาจกระซิบกันว่า เธอทำเวรหรือ เดี๋ยวเจอกันหน้าโรงเรียนเนาะ ฉันไปรออยู่หน้าประตูโรงเรียน เดี๋ยวไปเจอกันหน้าประตูโรงเรียนนะ  น้องไปหอพักพี่นะ…

บทสรุปหนึ่งน่าสนใจว่า ธรรมชาติของมนุษย์ผู้ชายมารักผู้หญิงต้องการเรื่องเซ็กส์  แต่ผู้หญิงไม่ต้องการมาก แต่ต้องการให้ผู้ชายรัก ต้องการความรัก  ผู้ชายเลยหลอกล่อว่าถ้าหญิงให้เซ็กส์ก็จะรัก ผู้หญิงก็ยอมแลกตัวเองแลกตัวเองเรื่องเซ็กส์เพื่อให้ผู้ชายรัก ถ้าเข้าใจตรงนี้จะไม่ตกเป็นเหยื่อ
ครูอ๊อดยังฝากว่า สังคมทุกวันนี้ เด็กวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายหาผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ไม่ว่ากลุ่มไหน  วัยใด เกือบทุกเรื่อง ผู้ใหญ่ไปหาผลประโยชน์กับเด็ก

เวลาสร้างเธค สถานเริงรมย์ กลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่น คนที่ไม่ได้หาเงินมาเอง

กลุ่มนี้จะเป็นเป้าหมาย ถามว่าวีซีดีโป๊ เด็กผลิตเองได้ไหม  ผู้ใหญ่ผลิต แล้วกลุ่มเป้าหมายก็คือมอมเมาเยาวชน เอาเด็กไปขายบริการ ผู้ใหญ่อายุมากบางที่ต้องการเด็กวัยรุ่น คนเป็นเหยื่อก็วัยรุ่นอีก ยาเสพติดกลุ่มเป้าหมายก็เด็ก
"ขอได้ไหม ผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง เลิกที่จะหาผลประโยชน์ จากเด็ก จากวัยรุ่นได้ไหม ครูอ๊อด ขอร้อง ยกมือไหว้ นึกถึงลูกหลานเองบ้างเถอะ"

Relate topics

Comment #1
น่ารัก สุ1000 (Not Member)
Posted @2 ก.ค. 51 11:18 ip : 203...154

น่าจะมีข้อมูลที่ลึกซึ้งมากกว่านี้เพื่อเป็นการชี้แนะแนวทางให้กับผู้ใช้บริการรายอื่น  ขอบคุณค่ะ

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว