หนองหญ้าปล้อง"มะละกอพันธุ์ใหม่ จุดเด่น"ทนแล้ง-ลูกดก-รสหวาน"
ในแวดวงเกษตร เมื่อพืช "กลายพันธุ์" อาจไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอ บางครั้งอาจนำมาซึ่ง "โอกาสทอง" ของชาวนาชาวไร่เช่นกัน ยกตัวอย่างกรณีของมะละกอลูกผสมระหว่างพันธุ์แขกดำ กับพันธุ์สายน้ำผึ้ง ซึ่งนักวิชาการของสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 จ.ราชบุรี ผสมพันธุ์แล้วขยายต้นกล้าด้วยวิธี "เพาะเมล็ด" ทำให้เกิดมะละกอลักษณะดีที่ตลาดต้องการ
มะละกอพันธุ์ใหม่นี้ มีลักษณะเด่นหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ทนแล้ง ผลเรียวยาวคล้ายพันธุ์แขกดำ เนื้อแน่นหนา สีแดงอมส้ม เมล็ดน้อย หรือเรียกว่า "มะละกอไส้ตัน" ส่วนรสชาติหวานจัดเหมือนกับพันธุ์สายน้ำผึ้ง น้ำหนักผลผลิต 0.7-2.7 กก. เบื้องต้นนักวิชาการและชาวสวนพร้อมใจกันเรียกพันธุ์ใหม่นี้ว่า "พันธุ์หนองหญ้าปล้อง" ตามพื้นที่ปลูกของเกษตรกรนั่นเอง
สุวิต ทับทิม เกษตรวัย 46 ปี ที่ ต.ยางน้ำกลัดเหนือ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ซึ่งนำต้นกล้ามะละกอพันธุ์หนองหญ้าปล้องมาปลูกตั้งแต่ปี 2541 บนพื้นที่จำนวน 8 ไร่ หลังจากที่ประสบความล้มเหลวจากปลูกอ้อยโรงงาน จึงได้ปรับเปลี่ยนแนวคิด แล้วเข้ารับคำแนะนำจากเกษตรอำเภอในพื้นที่ พร้อมเข้ารับการอบรมการจัดทำไร่นาตัวอย่าง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนการปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
"ผมตัดสินใจปลูกมะละกอพันธุ์หนองหญ้าปล้อง เพราะมองแล้วน่าจะจัดการได้ง่าย และให้ผลตอบแทนสูงกว่าพืชชนิดอื่น โดยเลือกวิธีเพาะต้นกล้าด้วยเมล็ด แม้ว่ามีโอกาสกลายพันธุ์สูงก็ไม่หวั่น เพราะมองว่าอาจเป็นการสร้างโอกาสให้ได้มะละกอสายพันธุ์ใหม่ที่มีศักยภาพสูงกว่าต้นปัจจุบัน แต่เราคัดเมล็ดจากต้นคุณภาพดีเท่านั้นไว้ขยายพันธุ์ ซึ่งพิจารณาจากขนาด รสชาติ และให้ลูกดก เป็นสำคัญ" สุวิต กล่าว
สุวิต บอกอีกว่า การปลูกมะละกอเกษตรกรต้องเข้าใจธรรมชาติของมันว่า พืชชนิดนี้ไม่ชอบความชื้นสูง เพราะทำให้เกิดปัญหารากเน่า เขาจึงต้องปลูกแบบเทคนิค "โคนลอย" กล่าวคือ ตามปกติเกษตรกรจะขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 1 ศอก แต่วิธีโคนลอยขุดหลุมลึกแค่ 3 นิ้ว ช่วยให้รากหาอาหารดี ระบายน้ำเร็ว และดินรอบๆ โคนต้นยึดลำต้นไว้ป้องกันลมพายุ
ทั้งนี้ มะละกอพันธุ์นี้มีความต้องการน้ำปริมาณน้อยกว่าพันธุ์อื่นๆ สุวิตจึงให้น้ำระบบสปริงเกอร์เดือนมีนาคม-เมษายน เปิดต่อเนื่อง 1 ชม. หากเป็นเดือนอื่นๆ งดให้น้ำก็ได้ แต่ให้สังเกตหากยอดเหี่ยว หรือใบตก แสดงว่าต้องการน้ำ ควรเปิดสปริงเกอร์ 20-30 นาที
การปลูกด้วยเมล็ดมะละกอเริ่มให้ผลิตผลเมื่อประมาณ 9 เดือน ซึ่งมะละกอ 1 ต้น สามารถให้ผลผลิต 25-30 กก.ต่อปี หรือ 2,966 กก.ต่อไร่ น้ำหนักผลเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 0.7-2.5 กก. หากไม่มีปัญหาโรคแมลงทำลาย สามารถเก็บผลผลผลิตต่อเนื่องได้นาน 3-4 ปี
"สิ่งที่เกษตรกรกลัวมากที่สุด คือ ศัตรูตัวฉกาจอย่างโรคด่างจุดวงแหวนนั้น เราต้องหมั่นเข้าสวน เฝ้าระวังการระบาด หากพบให้รีบโค่นต้นและทำลายทัน ซึ่งได้ผลดีในระดับหนึ่ง หรือถ้าคุมไม่อยู่ จำเป็นต้องใช้สารเคมีพ่นก็ให้ทำอย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้รู้ เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีตกค้างถึงผู้บริโภค" สุวิต อธิบาย
ส่วนผลผลิตจากสวนสุวิตนั้น ลำเรียงไปยังตลาดศรีเมือง จ.ราชบุรี ขนาดที่ตลาดต้องการมากที่สุด คือ น้ำหนักผลละ 1.7-1.8 กก. โดยแบ่งผลผลิตออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ "ผลสด" ขายราคาส่ง กก.ละ 2 บาท ส่วน "ผลสุก" ขายราคาส่ง กก.ละ 9 บาท แต่บางช่วงราคาพุ่งสูงถึง กก.ละ 12 บาท สร้างรายได้เข้ากระเป๋าของสุวิตไม่น้อยทีเดียว อย่างในปีที่แล้ว รับเงินจากการขายมะละกอถึง 6 แสนบาท
มะละกอ "พันธุ์หนองหญ้าปล้อง" นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรไทย ที่น่าสนใจในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้
บายไลน์ - เกรียงศักดิ์ เผ่าอินทร์
ที่มา คมชัดลึก
Relate topics
- การแยกขยะ มาตรวัดกึ๋นท้องถิ่นบ้านเรา/คอลัมน์...ได้อย่าง ไม่เสียอย่าง
- 'บุหรี่' เลิกไม่ยาก
- "ใช้เน็ตแบบปลอดภัย" โดย Security-in-a-Box
- เหตุผลที่พลังงานนิวเคลียร์ไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืน
- ขนมบรรจุซอง ภัยร้ายใกล้ตัวเด็ก
- ปากคำ"แพทย์"เหยื่อพริตตี้ กลยุทธ์ขายยาล้ำ"จริยธรรม"
- เปิดโลกการอ่าน ตอนโลกการ์ตูน
- ระวัง ‘พริกน้ำปลา’ ภัยร้ายผู้สูงวัย มีโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด
- กระบวนการสอนสร้างอนาคตร่วมกัน - Future Search Conference (F.S.C.)
- เด็กไทยเห็นแก่ตัว “ให้” ไม่เป็น