เสี้ยวศตวรรษชมรมแพทย์ชนบท
เสี้ยวศตวรรษชมรมแพทย์ชนบท จากขบวนการแพทย์ชนบทถึงสถาบันเครือข่ายแพทย์ชนบท
นพ. ชูชัย ศุภวงศ์ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท 2 สมัย (พ.ศ. 2529 - 31)
ในโอกาสที่ชมรมแพทย์ชนบทจัดประชุมวิชาการประจำปีในวันที่ 21 สิงหาคม 2547 และเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการ
ก่อตั้งชมรมแพทย์ชนบท (กุมภาพันธ์ 2521) จึงเป็นโอกาสดีที่จะมาทบทวนขบวนการแพทย์ชนบททั้งหมด เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางในอนาคต ในการมองอนาคตนั้น หากสามารถเหลียวมองไปข้างหลังได้ไกลเท่าไร ก็ย่อมแลไปข้างหน้าได้ไกลและชัดมากขึ้นเท่านั้น
คนโบราณถือว่าวัยเบญจเพส (เบญจ แปลว่า ห้า บวกกับ วีส แปลว่า ยี่สิบ) เป็นวัยที่สำคัญ เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จึงมักเตือนคนในวัยนี้ให้ครองตนด้วยความไม่ประมาท เพราะอาจถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ หากก้าวแรกมั่นคงก็จะเป็นฐานของชีวิตสำหรับก้าวต่อไปในอนาคต
๑. การก่อกำเนิด คงจะยากที่จะปฏิเสธว่าชมรมแพทย์ชนบทได้สืบสานเจตนารมณ์จากสหพันธ์แพทย์ชนบท (เมษายน 2519) หลังก่อตั้งสหพันธ์แพทย์ชนบทได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้น สหพันธ์ ฯ จึงต้องยุติบทบาทไป อย่างไรก็ตามในวารสารสหพันธ์แพทย์ชนบท ฉบับเดือนสิงหาคม 2519 ได้บันทึกความตอนหนึ่งไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตสำนึกสาธารณะ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ว่า "....สหพันธ์แพทย์ชนบทจะเป็นศูนย์กลางในการสรุปความจัดเจนของพวกเขา และสนับสนุนนโยบายสาธารณสุขที่เอื้อประโยชน์แก่สาธารณชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง สหพันธ์แพทย์ชนบทจะเป็นกำลังส่วนหนึ่งในการผลักดันให้การบริการแพทย์และสาธารณสุขไปสู่ชนบทได้ปรากฎเป็นจริงขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ นี่คือภาระหน้าที่อันสูงส่งและมีเกียรติของสหพันธ์แพทย์ชนบท !"
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของชมรมแพทย์ชนบทเป็น ปรากฏการณ์ทางสังคมอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 โดยแท้
๒. พัฒนาการ
นับจากเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 จวบจนปัจจุบัน ชมรมแพทย์ชนบทได้แสดง บทบาทในการพัฒนาระบบงาน ระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในโรงพยาบาลอำเภอ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลชุมชน) บทบาทในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นโดยอาศัยโรงพยาบาล
ชุมชนเป็นฐาน หรือเป็นกลไกในการสนับสนุนประชาสังคมท้องถิ่น บทบาทในการทำงานร่วมกับเครือข่ายประชาคมสาธารณสุข เช่น คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนด้านสาธารณสุข (คปอส.) กลุ่มศึกษาปัญหายา เป็นต้น บทบาทในองค์กรวิชาชีพ เช่น แพทยสภา ต่อมาได้ขยาย
บทบาทในการสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุกโดยอาศัยความร่วมมือจากสังคม (Social mobilization) เช่น โครงการวิ่งรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ที่คนไทยร่วมลงชื่อกว่า 6 ล้านรายชื่อ บทบาทในด้าน
การสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยผ่านทางองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข สถาบัน
วิชาการในต่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมในต่างประเทศที่สมาชิกแพทย์ชนบท แต่ละคน
ได้สร้างเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวาง บทบาทในการสร้างธรรมาภิบาลในกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นกรณี แต่งตั้งโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม หรือกรณีทุจริตยาจนสามารถขับไล่นักการเมืองระดับรัฐมนตรี และข้าราชการที่ทุจริตให้พ้นจากกระทรวง ฯ ได้ ต่อมาได้ขยายบทบาทในการปฏิรูประบบบริการสุขภาพ โดยมีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ รัฐบาลปัจจุบันนำไปใช้และเรียกว่า นโยบาย 30 บาทรักษา ทุกโรค บทบาทในการจัดทำแผนการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ ตลอดจนการพัฒนากลไกในการปฏิบัติตามแผน ฯ บทบาทในการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมืองในคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) ซึ่งเป็นฐานความรู้ที่สำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังได้แสดงบทบาทที่สำคัญในการติดตามตรวจสอบนโยบาย 30 บาท บทบาทในการผลักดันนโยบายสาธารณะที่ดี (ร่าง พ.ร.บ.ประกันสุขภาพแห่งชาติ) ซึ่งสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศ และบทบาทอื่น ๆ ที่ไม่สามารถกล่าวได้ทั้งหมด ณ ที่นี้
พัฒนาการดังกล่าวข้างต้นของขบวนการแพทย์ชนบทตลอดเสี้ยวศตวรรษที่ผ่านมา ได้บ่มเพาะหล่อหลอมและพัฒนาความคิด จิตสำนึกสาธารณะ อุดมการณ์ และศักยภาพของแพทย์ชนบท ทั้งในด้านวิชาการความรู้ การเคลื่อนไหวทางสังคม ตลอดจนการสื่อสารสาธารณะ<br />
๓. ศักยภาพและโอกาส
อันที่จริงแพทย์ชนบทไม่ใช่ผู้วิเศษมาจากไหน เป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ยังมีกิเลส
มีผิดมีถูก มีทุกข์มีสุข แต่การเกิดขบวนการแพทย์ชนบทเป็นอิทัปปัจจยตา (ความมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น) ทางสังคมที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ การช่วยกันวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้
เห็นถึงศักยภาพและโอกาสของขบวนการแพทย์ชนบทจะช่วยให้สังคมไทยสามารถใช้ประโยชน์จากขบวนการนี้ได้
เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้เขียนบทความ "ศักยภาพของแพทย์" โดยชี้ให้เห็นว่าแพทย์อยู่ในฐานะที่ดีกว่าคนอื่นอย่างน้อยในสถานะ ๔<br />
ดังต่อไปนี้ ๑) ฐานะทางเศรษฐกิจ ๒) สติปัญญา ๓) สถานะภาพทางสังคม ๔) มีทางเลือก
ทั้งนี้ ในบทความดังกล่าวเข้าใจว่าผู้เขียนคงมุ่งหวังให้แพทย์ซึ่งเป็นบุคคลที่ผู้เขียนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสามารถช่วยพัฒนาสังคมให้เกิดความสุขสมบูรณ์
แต่กล่าวสำหรับแพทย์ชนบทแล้ว ศักยภาพของแพทย์เป็นศักยภาพของขบวนการแพทย์ชนบท ซึ่งเกิดจากการรวมตัวเพราะมีจิตสำนึกสาธารณะ (Civic Consciousness) และมี
อุดมการณ์เพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตนหรือกลุ่มวิชาชีพของตน ซึ่งอุดมการณ์นี้สะท้อนให้เห็นได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการรวมตัวเป็นขบวนการ การกำหนดวัตถุประสงค์ของ "สหพันธ์แพทย์ชนบท" และ "ชมรมแพทย์ชนบท" ไม่ใช่อุดมการณ์ของปัจเจก แต่เป็นอุดมการณ์ของกลุ่ม อุดมการณ์เหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งเป็นเสมือนบรรทัดฐานให้คนในขบวนการนี้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติให้เป็นไปตามความคาดหวังของเพื่อนสมาชิกและของสังคม จึงได้รับความยอมรับของสังคมสูง เมื่อมีประเด็นปัญหาทางการแพทย์ หรือสาธารณสุข หรือในกระทรวงสาธารณสุข จะมีคำถามจากสื่อมวลชนและสังคมว่า "แพทย์ชนบทมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร" หรือ "ทำไมแพทย์ชนบทไม่มีความเห็นหรือเคลื่อนไหวในเรื่องนี้" ภาพลักษณ์ (Identity) และความเชื่อถือของสังคม (Credibility) ของขบวนการแพทย์ชนบท จึงเป็นทุนทางสังคม และเป็นโอกาสในการร่วมพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไป
การรวมกลุ่มเป็นขบวนการ และการจัดโครงสร้างของขบวนการในการทำงานที่มีลักษณะความสัมพันธ์แนวราบ (Civic Organizations) ทำให้มีกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติอย่างกว้างขวาง (interactive learning through action) อีกทั้งมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้กำลังใจกัน ถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นตั้งแต่ท่านอาจารย์หมอเสม พริ้งพวงแก้ว ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี ท่านอาจารย์หมอบรรลุ ศิริพานิช ท่านอาจารย์หมอไพโรจน์ นิงสานนท์ ฯลฯ<br />
จึงเป็นโครงสร้างของขบวนการที่มีทั้งทุน ปัญญาและบารมี
พัฒนาการตลอดช่วงเสี้ยวศตวรรษที่ผ่านมา ขบวนการนี้ได้เติบโตและมีเครือข่ายขยายออกไปอย่างกว้างขวาง (Civic Network) จากจุดเริ่มต้นที่สหพันธ์แพทย์ชนบทมาเป็นชมรมแพทย์ชนบท และต่อมาเชื่อมต่อกับมูลนิธิแพทย์ชนบท ซึ่งประกอบด้วยปูชนียบุคคลในวงการแพทย์และสาธารณสุขเป็นกรรมการมูลนิธิ ฯ ทำให้มีบารมี อีกทั้งมีงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน ต่อมาได้ขยายบทบาทเข้าไปในสภาวิชาชีพ การเข้าไปร่วมงานกับองค์กรเอกชนด้านสาธารณสุข การมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับสื่อมวลชน และบางส่วนเชื่อมโยงหรือเข้าไปทำงานทางการเมือง<br />
(ส.ส., ส.ว.) โดยมีการสื่อสารผ่านจุลสารและวารสารของชมรมแพทย์ชนบทโดยสม่ำเสมอ
ขบวนการแพทย์ชนบทจึงมีโครงสร้างในลักษณะสถาบันแบบเครือข่ายในที่สุด
พัฒนาการดังกล่าว จากขบวนการแพทย์ชนบทจนเป็นสถาบันเครือข่ายแพทย์ชนบท ที่มีโครงสร้าง กลไก กระบวนการและวิธีการทำงานอย่างเป็นระบบเชื่อมโยงถักทอเป็น เครือข่ายทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ทั้งในระดับฐานรากของสังคมจนถึงระดับนานาชาติ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ภายใต้โครงสร้างของสถาบันเครือข่าย ฯ นี้ สมาชิกแพทย์ชนบทจึงกระจายอยู่ในเกือบ
ทุกภาคส่วนของสังคมไทย
จึงอาจกล่าวได้ว่าสถาบันเครือข่ายแพทย์ชนบทสามารถเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายจากประชาสังคมท้องถิ่น (Local civil society) จนถึงประชาสังคมโลก (Global civil society)<br />
๔. ทิศทางในอนาคต สถาบันเครือข่ายแพทย์ชนบทจึงเป็นปรากฏการณ์ในสังคมไทยที่อาจกล่าวได้ว่า เป็นความงามที่ประดับไว้ในแผ่นดินไทย และไม่ง่ายนักที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินอื่น เพราะเหตุปัจจัยที่ต่างกัน
สถาบันเครือข่ายแพทย์ชนบทจึงนับเป็นทุนทางสังคมอันไพศาลที่สมาชิก ทั้งรุ่นอาวุโสสูง (แพทย์ผู้สูงอายุ) รุ่นอาวุโส รุ่นกลาง และรุ่นใหม่ ตลอดจนสมาชิกในรุ่นหน้า สามารถใช้เป็นเครื่องมือ (รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพ) ในการสร้างและพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมเข้มแข็ง (civil society) การเมืองภาคพลเมือง ประชาธิปไตยแบบการมีส่วนร่วม (ทางตรง) เพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็น
Relate topics
- "หมอประเวศ" ซัดสาธารณสุขไทยเหลว เหตุพัฒนาแต่ยอด
- ความเชื่อเรื่องวิญญาณ
- แพทย์ไทยตายอย่างไร
- 30 บาท กับทางออกไม่ให้โรงพยาบาลเจ๊ง
- ห้ามโฆษณาเหล้า จะลดการดื่มเหล้าได้จริงหรือ
- FTA ไทย-สหรัฐ สุขภาพคนไทยจะรุ่งหรือร่วง?
- แก้จนของจริงที่คำปลาหลาย
- ว่าด้วยทุจริตรถพยาบาลฉุกเฉิน
- ผู้สูงอายุเฮ ใส่ฟันปลอมฟรีทั้งปาก
- สุขภาพผู้สูงอายุ กับ กลไกซีอีโอ